“คุณหญิงสุดารัตน์” ควง “ดร.ตุ่น-ประพนต์” พร้อมทีมไทยสร้างไทยลาดพร้าว ให้กำลังใจพ่อค้าแม่ค้าตลาดอมรพันธ์ ผู้ค้าหลายรายครวญถูกรีดภาษี “คนละครึ่ง-เราชนะ” ไม่เป็นธรรม
วันนี้ (22 ม.ค.65) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วยนายประพนธ์ เนตรรังษี ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. และ น.ส.ขวัญนภา พรายมนต์ ทีมไทยสร้างไทยเขตลาดพร้าว ลงพื้นที่ตลาดอมรพันธ์ เยี่ยมเยียนให้กำลังใจพี่น้องประชาชน พ่อค้าแม่ขาย และถือโอกาสอวยพรปีใหม่ โดยขอให้การค้ากลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็ว หลังจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาต้องเผชิญกับ ความยากลำบาก ทั้งจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 การบริหารที่ผิดพลาดบกพร่อง ขาดวิสัยทัศน์ของผู้นำ จนกระทบต่อเศรษฐกิจปากท้อง ของกินของใช้แพงขึ้น และมีผลสืบเนื่องมาถึงพ่อค้าแม่ขาย ที่ส่งเสียงไปในทิศทางเดียวกันว่า กำลังซื้อหดหาย ส่งผลให้ยอดขายตกลงตามไปด้วย ขณะที่ภาระหนี้สิน ทั้งในและนอกระบบ ก็พุ่งตามไปด้วยเช่นกัน ผู้ค้าหลายรายต้องยุติการประกอบอาชีพ
โดยพ่อค้าแม่ค้าหลายราย ได้เข้ามาร้องเรียนขอความช่วยเหลือกับ คุณหญิงสุดารัตน์ และพรรคไทยสร้างไทย เพื่อให้เป็นปากเป็นเสียง จากการถูกเรียกเก็บภาษี กรณีที่เข้าร่วมโครงการของรัฐเช่นโครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ อย่างไม่เป็นธรรม โดยระบุว่า การเรียกเก็บภาษีจากยอดขาย ที่ได้เข้าร่วมทั้งสองโครงการผ่านธนาคารกรุงไทย ตั้งแต่ 20%-40% ของยอดขาย ทั้งที่การเรียกเก็บภาษีต้องเรียกเก็บจากกำไร ซ้ำร้ายไปกว่านั้น บางรายกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีโดยดูจากยอดเงินโอนเข้าในบัญชีธนาคารกรุงไทย แล้วนำมาคิดเป็นรายได้ทั้งหมด ทั้งที่เงินบางส่วนไม่ใช่เงินที่มาจากการค้าขาย แต่เป็นเงินที่มาจากการหยิบยืมเพื่อหมุนเวียนทำการค้า
แม่ค้าขายอาหารทะเลสดรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ถูกเรียกเก็บภาษีที่ 20% จากรายรับที่ถูกโอนเข้าผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย โดยเจ้าหน้าที่ ไม่ได้คำนวณจากกำไรหลังหักต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่างๆ ทำให้ผู้ค้ารู้สึกว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม แม้ยินดีที่จะจ่ายภาษีให้กับรัฐก็ตาม แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมาคือการเก็บภาษีอย่างไม่เป็นธรรม
เช่นเดียวกับแม่ค้าขายข้าวแกงอีกราย ที่ระบุว่าตนเองถูกเรียกเก็บภาษี โดยคำนวณจากรายรับ ที่เป็นเงินผ่านบัญชีธนาคาร ซึ่งวิธีคิดเจ้าหน้าที่ไม่ได้คำนวณภาษีจากส่วนที่ได้กำไร หลังหักลบต้นทุน และไม่ได้คิดด้วยว่าในแต่ละวันจะมีข้าวแกงที่ขายไม่หมด ข้าวแกงที่เหลือทิ้งหรือเสียหายในแต่ละวัน ซึ่งล้วนแต่เป็นต้นทุนทั้งสิ้น ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ที่เรียกเก็บภาษี ได้คำนวนเงินในบัญชีที่ญาตพี่น้องโอนมา ให้เป็นค่ารักษาโรคมะเร็งของสามี เข้าไปอยู่รวมกับเงินที่ได้จากการค้าขายด้วย ซึ่งผู้ค้ามองว่าไม่เป็นธรรมกับคนทำมาหากิน คนหาเช้ากินค่ำ
ขณะที่ พ่อค้าขายผลไม้ ระบุว่า วิธีการเก็บภาษี เจ้าหน้าที่ได้คำนวนจากรายรับสูงถึง 40% ของเงินที่เข้าบัญชี โดยไม่คำนวนจากส่วนที่พ่อค้าขายได้กำไร และไม่แจ้งล่วงหน้าว่าต้องนำหลักฐานใบเสร็จของต้นทุนมาแสดง จึงทำให้ผู้ค้าเกิดความเสียหาย
ทั้งนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ รับปากว่า จะให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคเข้าไปช่วยพ่อค้าแม่ค้า เหล่านี้ และจะทำหนังสือถึงกรมสรรพากรเพื่อให้ทบทวนการคิดภาษีที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าว.