“จักรพล” รองเลขาฯ เพื่อไทย ห่วง “ค่าเหยียบแผ่นดิน” 300 บาท ทำท่องเที่ยวไทยยิ่งทรุด ซ้ำเติมวิกฤตโควิด แนะยกเลิก หันไปสร้างความเชื่อมั่น-เพิ่มนักท่องเที่ยวดีกว่า จี้ “ประยุทธ์” เร่งช่วยธุรกิจท่องเที่ยว ก่อนดอกเบี้ยขาขึ้นจะซ้ำเติมทำเจ๊งหนัก
วันนี้ (15 ม.ค. 65) นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ รองเลขาธิการ และคณะทำงานเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงประมาณการณ์อัตราเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2565 ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยภายในปีนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง และเชื่อว่า จะขยายตัวไม่ถึง 4% อย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี อัตราการขยายตัวจะเป็นเท่าไรนั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวได้เมื่อใด และจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนเท่าไร แต่รัฐบาลกลับประกาศจะเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยคนละ 300 บาท หรือเรียกว่า ค่าเหยียบแผ่นดิน เริ่มวันที่ 1 เม.ย. 65 เป็นค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวที่เก็บจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเมื่อเดินทางเข้ามาสู่ประเทศ โดยนำเงินค่าเหยียบแผ่นดินดังกล่าว ไปเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งชาติ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะได้เงินเก็บเข้ากองทุนฯ จำนวน 1.5 พันล้านบาท รวมไปถึงการแบ่งค่าเหยียบแผ่นดินส่วนหนึ่งออกมาเป็นค่าประกันภัยให้กับนักท่องเที่ยวอีกด้วย
“การเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน สร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการการท่องเที่ยวของไทยอย่างมาก เพราะจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับนักท่องเที่ยวโดยไม่จำเป็น อาจสร้างผลกระทบต่อความรู้สึกและสร้างผลทางจิตวิทยากับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และอาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหันไปเที่ยวประเทศอื่นแทน คล้ายเป็นการเพิ่มภาระและอาจผลักมิตรให้ไปเป็นศัตรูหรือไม่ เพราะช่วงเวลานี้ประเทศไทยควรต้องทำการตลาดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมากกว่าจะมาคิดเพิ่มภาระให้กับนักท่องเที่ยว” นายจักรพล กล่าว
นายจักรพล กล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน ราคาต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการท่องเที่ยวประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะมีราคาที่สูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ เช่น ราคาอาหาร ก๊าซหุงต้ม ราคาน้ำมัน และค่าเดินทาง เป็นต้น ทำให้ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต้องเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะทำให้ปริมาณของนักท่องเที่ยวลดลงอยู่แล้วตามค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นและภาวะการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวหลังวิกฤตไวรัสโควิด นอกจากนี้ จากภาวะเงินเฟ้อของโลก โดยเฉพาะในสหรัฐที่เงินเฟ้อในเดือน ธ.ค. 64 สูงขึ้นถึง 7% ซึ่งทำให้ธนาคารกลางของสหรัฐต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มี.ค.นี้ โดยสหรัฐฯอาจจะขึ้นดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งภายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ไทยต้องขึ้นดอกเบี้ยตามสหรัฐฯ ซี่งจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ประกอบการของไทยที่ต้องแบกรับภาระต่อเนื่องมากว่า 2 ปี จะยิ่งต้องแบกภาระหนักกว่าเดิม และอาจจะแบกภาระกันต่อไม่ไหว
“ทั้งนี้ เพราะภาระที่เกิดจากการล็อกดาวน์และเกิดจากโรคลักปิดลักเปิด ที่รัฐบาลเปิดๆปิดๆประเทศมากว่า 2 ปีแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการต้องรับภาระหนักจากหนี้สิน และค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับแต่แทบไม่มีรายได้เข้ามาเลย และยังจะมีดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอีก ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะต้องคิดล่วงหน้าว่าจะช่วยผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวอย่างไรเพื่อให้อยู่รอดและทำธุรกิจต่อได้ในอนาคต” รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุ
นายจักรพล กล่าวอีกว่า แนวคิดการจะเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน น่าเป็นแนวคิดของคนที่หารายได้ไม่ได้ และบริหารประเทศไม่เป็น เพราะปัจจุบันแทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวจะเข้ามาอยู่แล้ว แต่กลับยังคิดจะเก็บเล็กเก็บน้อย แทนที่จะคิดว่าจะสร้างเศรษฐกิจไทยให้โตได้อย่างยั่งยืนได้อย่างไร เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลับมาท่องเที่ยว จับจ่ายใช้สอย รวมถึงการลงทุนในประเทศ หรือการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว แต่รัฐกลับมาคิดหารายได้กับการเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน รัฐบาลควรจะต้องคิดทบทวนและยกเลิกมาตรการดังกล่าว และต้องหัดคิดให้เป็น โดยควรต้องสร้างความเชื่อมั่นมากกว่าที่จะทำลายความมั่นใจ และบั่นทอนชีวิตและความสุขของคนไทยไปเรื่อยๆ แบบที่เป็นอยู่นี้
“เห็นได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ คิดไม่เป็น และทำอะไรๆ เหมือนสะดุดขาตัวเองหลายครั้ง ทำให้เกิดแผลหลายแผลซ้ำซากซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้ย่ำแย่มาตลอด จนเป็นการยากที่จะทำให้ประเทศไทยพัฒนาและเดินหน้าต่อไปได้” นายจักรพล ระบุ