“บิ๊กตู่” เปิดแผนปราบปรามยาเสพติด 2565 ขอทุกภาคส่วนร่วมกัน เพื่อสังคมปลอดภัย ชี้ ประมวลยาเสพติดมีผลบังคับใช้แล้ว ให้ทุกหน่วยศึกษาทำแผนที่ชัดเจนรองรับ
วันนี้ (9 ธ.ค.) เวลา 13.00 น. ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต มีการจัดงาน “เปิดแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2565” โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม, นายอัลลัน แมคคินนอน เอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย, นายเจเรมี ดักลาส ผู้แทนสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก (UNODC), นายมาร์ค ชไนเดอร์ ผู้แทนหน่วยประสานงานยาเสพติดและอาชญากรรมต่างประเทศประจำประเทศไทย (FANC), นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง แม่ทัพภาค 1-4 ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ผู้บัญชาการกองกำลังทหาร ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้บังคับหน่วยทหาร ศึกษาธิการจังหวัดและประธานกลุ่มเจ้าหน้าที่ประสานงาน ยาเสพติดระหว่างประเทศ รวมทั้งสิ้นประมาณ 500 คน
โดยภายในงานมีการรักษาความปลอดภัยและป้องกันโควิด-19 อย่างเข้มข้น ผู้เข้างานทุกคนจะต้องได้รับการตรวจ ATK ซึ่งในช่วงแรก พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมคณะได้ เดินรับชมนิทรรศการผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติอประจำปี 2564 และรับชมวีดีทัศน์แผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2565
จากนั้น นายสมศักดิ์ ได้กล่าวรายงานว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาสำคัญซึ่งมีผลกระทบ และเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ประชาชนต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รัฐบาลได้กำหนดให้ปัญหายาเสพติด เป็นนโยบายเร่งด่วนที่จะต้องเร่งรัดดำเนินการ โดยให้ความสําคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และจัดทำประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ที่มีผลบังคับใช้ในวันนี้ โดยให้ความสำคัญกับนโยบายตัวยาเสพติดที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และทางเศรษฐกิจได้ และการมองปัญหาผู้เสพหรือผู้ติดยาเสพติดในมิติของปัญหาด้านสาธารณสุขและสุขภาพมากขึ้น มิใช่ถือว่าเป็นปัญหาทางอาชญากรรมอย่างเดียว รวมถึงการลงโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ที่ได้สัดส่วนและความเหมาะสมกับความร้ายแรงของการกระทำความผิด การมุ่งเน้นการทำลายโครงสร้างหรือเครือข่ายการค้ายาเสพติดที่สำคัญ
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การดำเนินงานที่ผ่านมา ในปี 2564 รัฐบาลได้เห็นผลสัมฤทธิ์ในการปราบปรามยาเสพติด โดย สำนักงาน ป.ป.ส. กระทรวงยุติธรรม ได้ตั้งเป้ายึดทรัพย์ 6,000 ล้านบาท แต่สามารถยึดทรัพย์ได้เกินเป้าถึง 7,300 ล้านบาท ซึ่งเมื่อมีประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่จะทำให้การดำเนินการริบทรัพย์สินทำงานได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมและสามารถเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งการริบทรัพย์สินทดแทน ทรัพย์สินตามมูลค่า และทรัพย์สินสกุลเงินดิจิทัล ดังนั้น ในปีงบประมาณ 2565 กระทรวงยุติธรรมกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดการทำงานจะเปลี่ยนเป็นจำนวนทรัพย์ มุ่งเน้นยึดทรัพย์ให้มากขึ้น สามารถยึดทรัพย์ย้อนหลังได้ถึง 10 ปี ต้องยึดทรัพย์ให้ได้ 10,000 ล้านบาท และเงินดังกล่าวจะนำมาเป็นเงินสินบนต่อผู้แจ้งเบาะแส 5% หรือ 500 ล้านบาท สำหรับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติติงานจะได้รับเงินรางวัล 25% หรือ 2,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นสินบนรางวัลที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ด้าน นายเจเรมี กล่าวว่า ขอชื่นชมรัฐบาลไทยในการปราบปรามยาเสพติด ในปีที่ผ่านมา ถือว่า มีผลงานที่โดดเด่นในระดับโลก UNODC พร้อมที่จะเป็นหุ้นส่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และมุ่งมั่นในการทำงานร่วมกับประเทศไทย ที่มีกลยุทธ์ต่างๆ ที่มีคุณภาพ เราตั้งตารอแผนปฏิบัติงานในครั้งนี้ และพร้อมที่จะผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยกัน
นายมาร์ค กล่าวว่า FANC พร้อมร่วมมือกับประเทศเป็นอย่างดีในการปราบยาเสพติด และของแสดงความยินดีกับการทำงานของสำนักงาน ป.ป.ส. ในปีที่ผ่านมา เราสนใจการทำงานในแผนปฏิบัติการนี้ และพร้อมที่จะร่วมมือในการทำงานกับประเทศไทย
ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ ได้ กล่าวมอบนโยบายว่า ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกท่านเป็นที่ทราบกันดีว่าปัญหายาเสพติดได้ทำลายสังคม ทำลายสถาบันครอบครัว ส่งผลเสียต่อความมั่นคงของชาติ ปัจจุบันประเทศไทยต้องประสบปัญหาการลักลอบนำเข้ายาเสพติด โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แม้จะมีการสกัดกั้นจับกุมได้เป็นจำนวนมาก แต่ยาเสพติดยังหลุดรอดเข้าสู่ประเทศไทย และผ่านไปยังประเทศที่ 3 ขณะเดียวกัน การขนส่งยาเสพติดสามารถทำได้หลายช่องทาง เช่น จัดส่งพัสดุ การซื้อขาย และการชำระเงินยาเสพติดเปิดกว้างมากขึ้น ด้วยการใช้โซเชียลมีเดียทำให้การลักลอบซื้อขาย ยาเสพติดสะดวกรวดเร็วขึ้น สำหรับการผลิตยาเสพติดยังคงมาจากแหล่งพื้นที่เดิม คือ สามเหลี่ยมทองคำ เวลานี้มีการขยายกำลังผลิตเพิ่มมากขึ้นเพราะผู้ผลิตยาเสพติดมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีกำลังการผลิตสูงขึ้น ประกอบกับเคมีภัณฑ์และสารตั้งต้นที่มีจำนวนมากไม่จำกัด แต่ต้องขอยืนยันว่าประเทศไทยไม่เคยนิ่งเฉยในการแก้ปัญหา และยังคงเดินหน้าปราบปรามอย่างเข้มข้น มีการพัฒนากฎหมาย ซึ่งวันนี้ถือว่าเป็นการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดเป็นวันแรก รัฐบาลปรับปรุงและพัฒนาให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ และปรับปรุงบทบัญญัติให้สอดคล้องกับผลการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลก
“ผมขอมอบนโยบาย หลังจากที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดบังคับใช้ 1. ขอให้ผู้บริหารส่วนราชการทุกท่านทำความเข้าใจกฎหมายใหม่ฉบับนี้ 2. ขับเคลื่อนสร้างความพร้อม มีแผนขั้นตอนในการทำงาน ติดตามแก้ไขปัญหาในระยะเปลี่ยนผ่านกฎหมาย 3. นำประมวลกฎหมายยาเสพติดไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม มีความชัดเจน และ 4. เจ้าหน้าที่ต้องอดทน เสียสละ ซื่อสัตย์ หากใครทุจริตต้องถูกลงโทษอย่างหนัก” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เราต้องมีแผนงาน คือ 1. มาตรการความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งด้านการแลกเปลี่ยนข่าวสาร การประสานคดีระหว่างประเทศ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการสืบสวนสอบสวน และเรียนรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ 2. มาตรการปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายโดยใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดมาใช้บังคับ เพื่อนำไปสู่การยึดทรัพย์สินของผู้ค้ายาเสพติด 3. มาตรการในการป้องกันยาเสพติด ต้องป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าไปสู่การเสพหรือการใช้ยาเสพติด และป้องกันไม่ให้เข้าไปสู่กระบวนการค้ายาเสพติด โดยการเสริมสร้างความเข้มเข็งให้กับหมู่บ้านหรือชุมชน 4. มาตรการบำบัดรักษายาเสพติด บำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ผ่านการบำบัด และ 5. มาตรการบริหารจัดการอย่างบูรณาการ ให้ใช้กลไกของศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) ในการขับเคลื่อน ท้ายที่สุดนี้การปราบปรามยาเสพติดจะให้ องค์กรใด องค์กรหนึ่ง เป็นผู้รับผิดชอบคงจะไม่ได้ เราต้องบูรณาการร่วมกัน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อทำให้สังคมไทย ลูกหลานของพวกเรา ปลอดภัยจากยาเสพติด และวันนี้ เป็นวันแรกที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดประกาศใช้ถือได้ว่ามีเครื่องมือในการปราบปรามมากขึ้น ดังนั้นตนขออวยพรให้การปราบปรามยาเสพติดของพวกเราเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้