เมืองไทย 360 องศา
หากจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ก็ต้องเรียกว่าเป็นเรื่อง “บังเอิญอย่างร้ายกาจ” กันเลยทีเดียวสำหรับกำหนดการลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานีของ “ลุงตู่” หรือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพร้อมคณะชุด “ใหญ่เบิ้ม” เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา
แม้ว่าตามตารางกำหนดการที่ออกมาเผยแพร่อย่างเป็นทางการมีวาระน่าสนใจไม่น้อย แต่ก็อย่างว่า เมื่อเจาะจงเป็นที่จังหวัดอุดรฯ มันก็ย่อมทำให้หลายฝ่ายจับตามองว่างานนี้ต้องมี “วาระการเมือง” ที่ต้องการสื่อสารออกมาให้เห็นพ่วงเข้ามาด้วยแน่นอน
สำหรับกำหนดการตามตารางเวลาในการลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานีครั้งนี้เพื่อประชุมร่วมกับจังหวัด ภาคเอกชน และผู้ประกอบในพื้นที่ เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาจังหวัดอุดรธานีและแผนเปิดเมือง “อุดร พลัส โมเดล” โดยนายกรัฐมนตรีและคณะ มีกำหนดการและภารกิจ ดังนี้
ช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปยังวัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) ต.บ้านตาด อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี เพื่อกราบนมัสการ พระราชวชิรธรรมาจารย์ (หลวงพ่อสุธรรม สุธัมโม) เจ้าอาวาสวัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) และพระราชภาวนาวชิรากร (หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก) เจ้าอาวาสวัดอุดมมงคลวนาราม (วัดป่านาคำน้อย)
จากนั้น จะติดตามความก้าวหน้าพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว) ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานที่บรรจุอัฐิธาตุและเครื่องอัฐบริขารของหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน รวมทั้งยังเป็นสถานที่เผยแพร่ธรรมะ คำสอน เก็บรวบรวมประวัติหนังสือ คำสอนต่างๆ เพื่อเตือนใจให้เยาวชน คนรุ่นหลัง ทำความดีเพื่อพุทธศาสนาและประเทศชาติ
ต่อมานายกรัฐมนตรี ประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของจังหวัดอุดรธานี ณ ศูนย์ประชุมมลฑาทิพย์ ฮอลล์ อ.เมืองอุดรธานี โดยผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี จะรายงานสรุปทิศทางการพัฒนาจังหวัดอุดรธานี การเชื่อมโยงระบบการขนส่งและโลจิสติกส์ ระหว่างจังหวัดอุดรธานี กับจังหวัดในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) และการเตรียมความพร้อมรับการเป็นเจ้าภาพการจัดมหกรรมพืชสวนโลก 2026 ด้วย
ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวศักดิ์สิทธิ์ “วังนาคินทร์ คำชะโนด” ซึ่งเป็น 1 ใน 6 อำเภอนำร่องเปิดท่องเที่ยว ภายใต้แผนเปิดเมือง UDON PLUS MODEL เพื่อตรวจความพร้อมในการเปิดเมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐบาล เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่
หากพิจารณากันตามความเป็นจริงก็ต้องถือว่าแต่ละกำหนดการมีความน่าสนใจ และมีความสำคัญทั้งกับพื้นที่และการพัฒนา
อย่างไรก็ดี หากหักมุมมามองในทางการเมืองก็ต้องบอกว่า “ไม่ธรรมดา” แน่นอน โดยเฉพาะในเรื่องของพื้นที่ เพราะต้องไม่ลืมว่าที่ผ่านมาจังหวัดอุดรธานี ถือว่าเป็นหนึ่งใน “เมืองหลวงเสื้อแดง” เป็นฐานมวลชนสำคัญของพรรคเพื่อไทย และฐานมวลชนสำคัญของ นายทักษิณ ชินวัตร อย่างเหนียวแน่น และที่ผ่านมาพื้นที่แห่งนี้เคยมีการเคลื่อนไหวทางด้านมวลชนอย่างเข้มข้นตลอดมา นอกเหนือจากขอนแก่น หรือในจังหวัดทางภาคเหนือซึ่งเป็นบ้านของเขา
แต่ที่ผ่านมาฐานมวลชนดังกล่าว “ถูกตีแตก” มาตั้งแต่การเลือกตั้งคราวที่แล้ว อีกทั้งเมื่อ “ท่อน้ำเลี้ยงอุดตัน” หรือไม่ได้รับการเหลียวแลจาก“นายใหญ่” เนื่องจากเห็นว่าในตอนนั้นยัง “ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน” ทางการเมือง ประกอบกับการ“เจาะใช”จากฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะจากกลุ่ม “สามป.” ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นแกนหลัก และ“กุมอำนาจรัฐ” มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนกับมวลชนเสื้อแดง จนแตกฉานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง แม้กระทั่งส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ก็ย้ายมาสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ในสังกัดพรรครัฐบาลในเวลานี้
ส่วนระดับแกนนำมวลชนคนเสื้อแดงที่น่าสนใจ นอกเหนือจากนายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ “แรมโบ้” อดีตแกนนำคนเสื้อแดงคนสำคัญ ที่กำลังเป็นกลไกหลักของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแล้ว
ที่ต้องจับตาก็คือบทบาทของนายอานนท์ แสนน่าน อดีตแกนนำอีกคน และเคยเป็นประธานผู้ก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงในภาคอีสาน ที่เวลานี้กลายเป็นฐานมวลชนให้กับ “สามป.” อย่างเต็มที่ และมักเคลื่อนไหวชนกับทางฝั่งพรรคเพื่อไทย และแม้กระทั่งกับ “นายเก่า” อย่าง นายทักษิณ ชินวัตร โดยตรง ก็มีให้เห็นหลายครั้ง
และในการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะนอกเหนือจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐแล้ว ยังมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นต้น
แน่นอนว่าเมื่อเยือนถิ่นอุดรฯ ที่เคยเป็นระดับ“เมืองหลวงคนเสื้อแดง” ก็ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ “ทีมล่วงหน้า” ที่นำโดย นายเสกสกล อัตถาวงศ์ และนายอานนท์ แสนน่าน ที่ดำเนินการมวลชนที่มีทั้งต้อนรับขบวนใหญ่ และที่สำคัญต้องป้องกันมวลชน “กลายพันธุ์เป็นสามนิ้ว” จะมาสร้างความปั่นป่วนขนาดไหน แต่เอาเข้าจริงกลายเป็นว่ามีการจัดการได้น่าสนใจทีเดียว
งานนี้ทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เปิดเกมรุกเป็นกอบเป็นกำไม่เบาและงานนี้เหมือนกับเป็นการ “ตั้งใจ” ย้ำความได้เปรียบเอาไว้ล่วงหน้า ในลักษณะของ “ลูกอีสาน”กับคนในพื้นที่ และเจตนาประกาศย้ำให้ได้ยินไปทั่วทั้งภาคอีสานกันเลยทีเดียว
"นายกฯในฐานะเป็นคนอีสานด้วยกันไม่เคยลืม ไม่เคยทิ้งอีสาน จะเห็นว่าโครงการต่างๆได้ลงมาในพื้นที่แล้ว ถ้ามีโอกาสได้ทำต่อไปโครงการอื่นๆ จะสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ วันหน้าลูกหลานของเราจะมีความสุข วันนี้ทำเพื่อลูกหลาน นายกฯยึดแบบนี้ ซึ่งหลายอย่างติดขัดบ้างต้องแก้ปัญหาในระดับประชาชนให้ได้ ถ้าทำได้ก็จะดีและเกิดผลโดยรวม" นายกฯ กล่าว
หรือก่อนหน้านั้นไม่นาน เมื่อพบปะกับชาวบ้านก็ได้ย้ำในลักษณะเดิมว่า “ผมเป็นคนโคราช เป็นลูกอีสาน จะไม่ทิ้งใคร ไม่ทิ้งพี่น้องชาวอีสาน”
แน่นอนว่าในความเป็นจริงก็ใช่ เพราะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีบ้านอยู่ในโคราช เมื่อต้องติดตามพ่อมารับราชการทหารที่นั่น ขณะเดียวกันเขายังมีแม่ที่เป็นชาวจังหวัดชัยภูมิ อีกด้วย คำว่า “ลูกอีสาน” ก็ย่อมถูกต้องแล้ว แต่เมื่อพูดในบรรยากาศที่เป็นเรื่องการเมือง มันก็ย่อมมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากท่าทีและคำพูดของ “บิ๊กตู่” ทั้งในการเลือกจังหวัดอุดรธานี ซึ่งถือว่าเคยเป็นฐานสำคัญของพรรคเพื่อไทย และของนายทักษิณ ชินวัตรแล้ว คำพูดที่เน้นเจตนาคำว่า“ลูกอีสาน” ของเขา มันก็เริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้นและเชื่อว่าจะต้องเข้มข้นกว่านี้อีกหลายเท่า หากเป็นการลงพื้นที่ในภาคอีสานคราวต่อไป ซึ่งรับรู้กันอยู่แล้วว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นสนามใหญ่ที่สุดที่ทุกฝ่ายต้องการแย่งชิง หากชนะในพื้นที่ตรงนี้ ก็เหมือนกับชนะไปครึ่งตัวแล้ว !!