พปชร.เส้นเลือดใหญ่ไหลอาบ! “สามมิตร” เผ่นกลับบ้านเก่าหานายใหญ่ หลังสัมพันธ์ “ผู้กองนัส” ร้าวหนัก ส่วนแก๊ง “วิรัช” เตรียมอพยพครอบครัวซบไหล่ “เนวิน” ยังไม่บอกเหตุผล
วันนี้ (28 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจากความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ และมีความพยายามจะปรับโครงสร้างพรรคแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้ล่าสุดแหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า กลุ่มสามมิตร นำโดย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รวมถึง ส.ส.สังกัดกลุ่มสามมิตร ได้มีการพูดคุยกับผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่าจะไปสังกัดพรรคเพื่อไทย เนื่องจากที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของทางกลุ่มสามมิตร กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค มีความขัดแย้งมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้กลุ่มสามมิตรตัดสินใจที่จะย้ายกลับบ้านเก่าอีกครั้ง
นอกจากนี้ รายงานข่าวยังแจ้งความเคลื่อนไหวของกลุ่มนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และกรรมการบริหาร พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งขณะนี้ถูกศาลฎีกานักการเมืองสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมา นายวิรัช ถือเป็นแม่ทัพอีสานคนหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ ที่รับผิดชอบพื้นที่นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ และเลย โดยนายวิรัช ยังอยู่ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ที่ส่งตระกูลของตัวเองลงสมัคร ส.ส.ของพรรคจำนวนมาก เช่น นางวลัยพร รัตนเศรษฐ น้องสาว ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 29 นายตติรัฐ รัตนเศรษฐ ลูกชายคนเล็ก ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 35 นางทัศนียา รัตนเศรษฐ ภรรยา เป็นผู้สมัคร ส.ส. เขต 7 นครราชสีมา นายอฐิรัฐ รัตนเศรษฐ ลูกชายคนโต ผู้สมัคร ส.ส. เขต 6 นครราชสีมา นายทวิรัฐ รัตนเศรษฐ ลูกชายคนรอง ผู้สมัคร ส.ส. เขต 4 นครราชสีมา และนางทัศนาพร เกษเมธีการุณ น้องสาวภรรยานายวิรัช เป็นผู้สมัคร ส.ส. เขต 8 นครราชสีมา ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะถึง นายวิรัช จะขนตระกูลตัวเองไปซบไหล่นายเนวิน ชิดชอบ แห่งพรรคภูมิใจไทย แต่ยังไม่ขอเปิดเผยถึงเหตุผลในการตัดสินใจย้ายพรรคในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวแจ้งว่า สถานการณ์ตอนนี้ ที่มีข่าวย้ายพรรคของกลุ่มแกนนำในบางกลุ่ม ของพรรคพลัง ประชารัฐ ขึ้นอยู่กับพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะไกล่เกลี่ยความขัดแย้งภายในได้หรือไม่ ซึ่งยังมีเวลาพอที่จะมีการเลือกตั้ง