เมืองไทย 360 องศา
เป็นการยืนยันจากปากของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่า เขาจะไปร่วมงานลอยกระทง ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อลบภาพความขัดแย้งให้หมดไป
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ถามว่าจะไปลอยกระทงที่ไหน และจะลอยอะไรในวันนั้นว่า “คงจะไปๆ แต่คงไม่ลง (ท่าน้ำ) เพราะกลัวตกน้ำตาย ส่วนจะลอยอะไรนั้น จะลอยความขัดแย้งทั้งหมดถ้าคิดว่ามี แต่ผมไม่มี”
ทั้งนี้ ทำเนียบรัฐบาลได้มีการจัดงาน “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานประเพณีไทย 1 ครอบครัว 1 กระทง รักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ปลอดโรคปลอดภัย” ในวันศุกร์ที่ 19 พ.ย.นี้เวลา 17:00 น. โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นางนราพร จันทร์โอชา ภริยา รวมถึงคณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส จะเดินทางมาร่วมงานนี้
โดยนายกฯยังจะได้รับชมการแสดงชุดสายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย โดยสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ จากนั้นนายกรัฐมนตรี และภริยา รวมถึงคณะรัฐมนตรี และคู่สมรสร่วมลอยกระทง และชมการจำลองวิถีชีวิต ตลาดน้ำที่คลองผดุงกรุงเกษม
ทั้งนี้ มีข้อกำหนดว่าผู้ที่จะเข้าร่วมงานนั้นจะต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็ม และได้รับการตรวจ ATK ก่อนเข้าร่วมงานซึ่งการตรวจ ATK นั้น จะต้องไม่เกิน 72 ชั่วโมง ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย ที่สำคัญ ภายในงานจะมีจุดวัดอุณหภูมิจุดลงทะเบียนไทยชนะและจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ ก่อนเข้างานและออกงาน
ก่อนหน้านี้ มีภาพของความขัดแย้งเกิดขึ้นมาในกลุ่มพี่น้อง “สาม ป.” อันประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยแยกออกเป็น “สอง ป.” ที่มี ป.ประยุทธ์ กับ ป.ป๊อก แท็กทีมกัน หลังจากการเกิดความเคลื่อนไหวท้าทายอำนาจในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ในสมัยประชุมที่ผ่านมา และนำมาสู่การปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พ้นจาก รมช.เกษตรและสหกรณ์ และ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ พ้นจาก รมช.แรงงาน โดยที่ทั้งคู่ยังดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐต่อไป โดย ร.อ.ธรรมนัส ยังเป็นเลขาธิการพรรค และนางนฤมล ยังเป็นเหรัญญิกพรรค โดยการโอบอุ้มของ พล.อ.ประวิตร
แม้ว่าที่ผ่านมา มีรายงานว่า จะมีการ “เคลียร์” กันมาแล้วหลายรอบ อีกทั้งทั้งคู่ก็ยังมีการแสดงให้เห็นว่าไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น โดยอ้างถึงความสัมพันธ์แบบพี่น้องที่มายาวนานหลายสิบปี ที่ทิ้งกันไม่ได้
แต่ขณะเดียวกัน ภายในพรรคพลังประชารัฐในช่วงที่ผ่านมา ได้เกิดการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงที่เชื่อมโยงกับภายนอก โดยเฉพาะการเชื่อมไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในลักษณะการ “รุกคืบ” เข้ามามีบทบาท หรือการวางตัวบุคคลหรือคนใกล้ชิดมารั้งตำแหน่งสำคัญ รวมไปถึงการจัดวางกลุ่มก๊วนภายในพรรคให้มีบทบาทในลักษณะ “ถ่วงดุล” แทนที่จะรวมศูนย์บทบาทไว้ที่ตำแหน่งเลขาธิการพรรคเป็นหลักเหมือนเช่นที่ผ่านมา
และล่าสุด ก็กำลังจะมีการปรับโครงสร้างพรรคพลังประชารัฐกันใหม่ โดยให้มีตำแหน่งหัวหน้าภาคเพิ่มเข้ามาราว 10 ภาค โดยมีบทบาทในการดูแล ส.ส.และการคัดเลือกตัวผู้สมัครเพื่อรองรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป ก่อนเสนอให้หัวหน้าพรรคชี้ขาด ซึ่งคนที่ได้รับมอบหมายให้ร่าง “พิมพ์เขียว” ที่ว่านี้ก็คือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ และเพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ไม่นาน
แม้ว่าสำหรับคอการเมืองจะพอเข้าใจได้ว่าในความเป็นจริงแล้วทั้ง “สาม ป.” ดังกล่าวไม่มีทางจะเกิดความขัดแย้งแตกหักกันไปได้ เพราะนั่นเท่ากับหายนะ ฆ่าตัวตายทางการเมือง และล้มอำนาจของพวกเขาเอง ในทางตรงกันข้าม กลับต้องจับมือผนึกกำลังเพื่อรักษาอำนาจให้นานที่สุด
ภาพจึงต้องออกมาในลักษณะของการ “พึ่งพาอาศัย” แยกกันแสดงบทบาท โดย พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ เป็นผู้นำรัฐบาล ขณะที่ พล.อ.ประวิตร จะเป็นผู้สนับสนุน เป็น “ผู้จัดการรัฐบาล” แบ่งปันอำนาจในลักษณะ “วิน วิน” กันไป
ที่ผ่านมา ก็มีรายงานข่าวยืนยันว่า มีการพูดจาทำความเข้าใจกันแล้วจนไม่มีปัญหาอะไรระหว่างกัน รวมไปถึงคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยอมรับว่า ได้พูดคุยกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ไปบ้างแล้ว ทำให้พอเข้าใจได้ว่า นาทีนี้ทุกฝ่ายพยายาม “รอมชอม” เพื่อยื้อเวลาให้นานที่สุด หรือจนครบวาระ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาสำคัญในการฟื้นฟูหลังจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย อย่างน้อยในเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่ต่อเนื่องมาจากวิกฤตโรคระบาดดังกล่าว ดังนั้น ในช่วงเวลาที่เหลืออีกราวปีเศษจึงต้องเร่งสปีดกันอย่างเต็มที่เพื่อสร้างผลงาน ก่อนถึงกำหนดเลือกตั้งครั้งหน้า
อีกทั้งในช่วงตั้งแต่ปลายปี่นี้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า นอกเหนือจากมีกฎหมายสำคัญของรัฐบาลที่รอการพิจารณาในสภาแล้ว ยังมีวาระการเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก หรือ “เอเปก” เป็นงานใหญ่ระดับโลก มาร่วมประชุมในประเทศไทย เป็นงานช้าง เป็นหน้าเป็นตาทั้งเครดิตประเทศและตัวผู้นำที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะพลาดโอกาสแบบนี้ไม่ได้เป็นอันขาด
ดังนั้น ด้วยภาวะและสถานการณ์เพื่อความอยู่รอดทำให้ทุกฝ่ายต้องหันหน้ามาประนีประนอมรอมชอมกันหรือเปล่า โดยเฉพาะในกลุ่ม “สาม ป.” ที่นาทีนี้ต้องรวมหมู่ แยกกันเมื่อไหร่ตายแน่ อะไรประมาณนั้น ทำให้เชื่อมั่นว่าถึงอย่างไรพวกเขาไม่มีวันแตกกันเป็นอันขาด ในทางตรงกันข้ามมีแต่กระชับแน่นขึ้นมากกว่า !!