ข่าวปนคน คนปนข่าว
**รัสเซล โครว์ อะเมซิ่งไทยแลนด์ ถูกที่ถูกเวลา พระเอกของลุงรับเปิดประเทศ
เรียกเสียงฮือฮาและชวนติดตามได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับความเคลื่อนไหวของ “รัสเซล โครว์” พระเอกรุ่นใหญ่ ระดับรางวัลออสการ์ จากบทบาท “แมกซิมัส” ในภาพยนตร์ Gladiator ที่คนไทยรู้จักกันดี
“รัสเซล โครว์” ซึ่งเดินทางมาถ่ายทำภาพยนตร์ The Greatest Beer Run Eve ที่เมืองไทย เจ้าตัวได้ใช้เวลานี้ ท่องเที่ยว และโพสต์บอกเล่าเรื่องราวความประทับใจต่อการมาบ้านเราเป็นครั้งแรกลงในโซเชียลส่วนตัว ที่มียอดติดตามหลายล้านคน
อย่างที่เห็นๆ กัน ทันทีที่ “รัสเซล โครว์” ได้สัมผัสความสวยงามของภูเก็ต เขาได้โพสต์ ความรู้สึกอะเมซิงไทยแลนด์ ตื่นตาตื่นใจ รู้เลยว่า ทำไมมีคนจำนวนมากปักหมุดมาที่นี่
จากภูเก็ต “รัสเซล โครว์” เดินทางมากรุงเทพฯ ตามแคปชัน “Bangkok Dreaming” ของเขาบอกเล่าผ่านโพสต์และภาพ สายสื่อสารระโยงระยางพันกันยุ่งเหยิงบนเสาไฟข้างถนนของ กทม. หรือแม้แต่ “ตัวเงินตัวทอง” ที่เขายกให้เป็น “เพื่อนใหม่” ในกลางกรุง เล่นเอาชาวโชเชียล อมยิ้มแซวกันสนุกสนาน
โพสต์ของ “รัสเซล” ที่ชาวเน็ตกดไลก์รัวๆ ก็ต้องนับเมื่อวาน (21 ต.ค.) ด้วย ซึ่ง พระเอกรุ่นใหญ่ แวะชิมอาหารจากฝีมือ “เจ๊ไฝ” เชฟสตรีทฟู้ดระดับมิชลินสตาร์ ย่านประตูผี ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก พร้อมกับได้ถ่ายภาพคู่กัน ซึ่งมีผู้แสดงความเห็นว่า นี่เป็นการโคจรมาพบกันของ 2 ตำนาน สุดยอดฝีมือด้านการแสดง และด้านอาหาร
ที่น่าประทับใจต่อมา “รัสเซล” ได้โพสต์การได้เจอกับ “ดาบตำรวจ อนิรุธ มะลี” ฮีโร่ของเขาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว จากเหตุการณ์ ที่ ดาบตำรวจ อนิรุธ ได้กล่อมคุณลุงที่ใช้มีดจี้คอตัวเอง ก่อนจบลงโดย “ดาบรุธ” เข้าสวมกอดปลอบใจคุณลุง จนภาพและคลิปของ “ดาบรุธ” กลายเป็นไวรัล โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งตอนนั้น “รัสเซล โครว์” ก็ทวีตแสดงความชื่นชมในตัว “ดาบรุธ” ด้วย โดยบอกว่า “Police Officer Anirut Malee. You are my new hero”.
แม้เหตุการณ์จะผ่านไป 4 ปีแล้ว ตอนนี้ “รัสเซล โครว์” อยู่ในไทยเขาก็ไม่เคยลืมเรื่องราวอันสุดประทับใจที่เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งนั้น จึงตามหา “ดาบรุธ” และ ได้เจอกับตัวจริงของฮีโร่ของเขาแล้ว โดยได้โพสต์ภาพที่ถ่ายคู่กับ “ดาบรุธ” ลงในทวิตเตอร์ส่วนตัว พร้อมข้อความระบุว่า “Met my hero today. Police Officer Anirut !
การที่ พระเอกดัง บอกเล่าและแบ่งปันความประทับใจ ในสถานที่ท่องเที่ยว อาหาร และ ชื่นชมไมตรีจิตของคนไทย ที่ได้มีโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยให้โลกรู้ ถือเป็นการโปรโมตการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
แน่นอนคนที่ยิ้มกริ่ม ปลื้มอกปลื้มใจย่อมเป็น “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะเปิดประเทศ 1 พ.ย.นี้ ได้พระเอกตัวจริงมาช่วย อยู่ถูกที่ถูกเวลา ทุ่นแรงรัฐบาลไปได้เยอะ จนชาวเน็ตแซวว่า โปรโมตให้ทั้งตัวและหัวใจแบบนี้ “รัสเซล” น่าจะเหมาะสมกับตำแหน่ง รมว.ท่องเที่ยวฯ ของไทยไปเลย แถมยังจะมีเงินสะพัดจากการยกกองถ่ายหนังมาให้อีกซึ่งคาดกันว่า ต่ำๆ ก็ต้องมี 300 กว่าล้าน
งานนี้ ต้องแทงกิ้ว แมกซิมัส กันงามๆ หน่อยนะลุง.
**“อดีตยันตระ” กลับมาฉลองวันเกิดครบ 70 ปี พส. ก้มกราบกราน งานนี้สำนักพุทธฯ วุ่นอีก
หลังจากถูกมหาเถรสมาคม มีมติให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุ ด้วยข้อหาเสพเมถุน จนสีกาตั้งท้อง ไปเมื่อปี 2537 ต้องหลบไป “ห่มเขียว” อยู่สหรัฐอเมริกากว่า20ปี ... ล่าสุด “อดีตพระยันตระ” หรือ นายวินัย ละอองสุวรรณ ได้เดินทางกลับมาที่ประเทศไทย เพื่อฉลองวันเกิดอายุครบ 70 ปี
“ยันตระ” กลับมาครั้งใดก็เป็นข่าวใหญ่ทุกที คราวนี้ก็เช่นกัน เมื่อเพจ “อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น part 2” ได้โพสต์ภาพพระสงฆ์ก้มกราบ อดีตพระยันตระ พร้อมแคปชันว่า “ใส่สบงแล้วทรงก้มกราบ ยันตระ เหล่าแครอทที่ไปร่วมงานวันเกิด อดีตพระยันตระ ต่างก้มลงกราบ ยันตระ ถถถ บวชมาเพื่ออารายย”...
แน่นอนว่า โพสต์นี้ทำเอาโซเชียลร้อนฉ่า เพราะใครที่เห็นภาพแล้วก็อยากเมนต์ ส่วนใหญ่ก็เป็นไปในทางลบ ว่าเหมาะสมถูกต้องแล้วหรือ ที่พระจะไปกราบไหว้ฆราวาส พุทธศาสนามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร สึกไปเถอะอย่าอยู่ให้เสื่อมผ้าเหลือง... สุดท้ายไปลงที่สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่าจะพิจารณาโทษ เอาผิดพระเหล่านี้ได้หรือไม่ รวมถึงอดีตพระยันตระด้วย
ตามรายงานข่าวบอกว่า “ยันตระ” เดินทางเข้าไทยมาตั้งแต่ 28 ก.ย. เมื่อผ่านการกักตัวตามมาตรการป้องกันโควิดแล้วก็ออกเดินสายไปพบลูกศิษย์ลูกหาที่ยังนับถือเลื่อมใสกันอยู่ ตามสำนักต่างๆ รวมทั้งที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช บ้านเกิด และที่ จ.สระแก้ว
เมื่อตกเป็นบุคคลในกระแส “ยันตระ” ยังให้สัมภาษณ์สื่อ ตอบข้อวิพากวิจารณ์ที่สังคมคาใจ ทั้งยังเรียกตัวเองว่า “อาตมา”ทุกคำ ด้วยยังยืนยันว่าตัวเองยังเป็นนักบวชอยู่ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีแต่รูปแบบภายนอกเท่านั้นที่เปลี่ยนไป
“อาตมายังเป็นพระอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่อาตมาไม่ปลงผม ไม่ปลงหนวด ปล่อยไปตามธรรมชาติ เพราะอาตมาอยู่อเมริกา อยู่ป่า จะมาวัดเป็นครั้งคราว ในวันวิสาขบูชา หรือวันมาฆบูชา หรือวันอาสาฬหบูชา...
...ที่ต้องกลับประเทศไทยเพราะเป็นแดนมาตุภูมิที่เกิด อาตมายังมีญาติพี่น้องอยู่เยอะ ตั้งใจมาเยี่ยม และศิษย์สาธุชนที่ยังมีความเลื่อมใสอยู่ ทุกคนดีใจที่อาตมากลับมา ก็มากราบมาไหว้ อาตมาก็ไม่มีสิ่งใดนอกจากพูดให้ธรรมะ
เมื่อถูกถามเข้าจุดว่า ในประเทศไทย ท่านไม่ใช่พระแล้ว คนไทยส่วนใหญ่ไม่ศรัทธาท่านแล้ว และทำไมยังให้พระสงฆ์ไปกราบไหว้ท่าน ทางสำนักพุทธฯกำลังตรวจสอบพระสงฆ์ที่ไปกราบไหว้ท่าน จะมีความผิดได้... “ยันตระ” ก็ยังคง ยังยืนยันว่า อาตมายังเป็นพระอยู่เหมือนเดิม ...อาตมาเข้าใจโลก จะให้คนมาเข้าใจเราทั้งหมดไม่ได้ เป็นธรรมดา และอาตมาไม่เคยเรียกร้องให้ใครมากราบไหว้ ไม่เคยบอกใครต้องมาเคารพกราบไหว้ นอบน้อม
...คนที่เขาคิดว่าอาตมาพ้นจากความเป็นพระแล้วนั้น เขาคิดไปเอง อาตมายังเหมือนเดิม แค่ไม่ปลงผม ไม่ปลงหนวด อาตมาก็สบายๆ นุ่งกางเกงจีน ใครจะว่า “สายเขียว”อาตมาก็ไม่รู้สึกอะไร ชุดที่ใส่ อาตมาออกแบบเอง อาตมาเป็นเอกเทศ อยู่ของอาตมาเอง ไม่มีองค์กรอะไร
ความจริงทั้ง พระ เถร เณร ชี ตลอดจนฆราวาสในประเทศไทย ยอมรู้อยู่แล้วว่า “ยันตระ”ขาดจากการเป็นพระไปนานแล้ว แต่ที่ยังเคารพนับถืออยู่นั้นเป็นเรื่องศรัทธาของแต่ละบุคคล แต่การที่พระสงฆ์ ไปกราบไหว้ ผู้ที่ขาดจากความเป็นพระแล้วนั้น สังคมยอมมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ผิดทำนองคลองธรรม ทำให้ความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาสั่นคลอน
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่สำนักพุทธฯ จะดำเนินการตรวจสอบ พิจารณาความผิด กับคณะสงฆ์เหล่านั้น แต่จะเป็นไปได้แค่ไหน อย่างไร ก็ต้องติดตาม ส่วนจะไปเอาผิด “ยันตระ” นั้นคงยาก เพราะถูกตัดสินว่าขาดจากความเป็นพระไปแล้ว