ช่วยน้องตูนด้วย! “พี่บิณฑ์” ออกโรง ปลุกพลังคนรักสถาบัน สู้ทัวร์สามนิ้ว Unlike เพลง “ดุจดั่งสายฟ้า” หลังเคยร่วมวิ่งช่วย รพ. “4 ผู้ประกาศดัง” TOP NEWS ผลิตข่าว ททบ.5 แนวรบล้มเจ้า “สุวินัย” ชี้ สามกีบล้มเหลว “คิดตื้นเขิน+หลงตัวเอง”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (30 ก.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น พี่บิณฑ์ ออกโรงช่วยน้องตูน! ปลุกพลังคนรักสถาบัน สู้ทัวร์สามนิ้ว ย้อนเคยร่วมวิ่งช่วย รพ.มาแล้ว
โดยระบุว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่เพลง ดุจดั่งสายฟ้า เพลงเฉลิมพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 10 ที่ขับร้องโดย อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม ศิลปินขวัญใจคนไทย ทำให้เกิดความปลื้มปีติของคนไทย ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้กลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมือง แห่แบนเพลงดังกล่าว ส่งผลให้ยอด Unlike สูงกว่า ยอดกด Like
ล่าสุด บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ พระเอก นักแสดงชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า
“ตอนนี้ มีคนไม่รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กำลังปั่นรุมถล่มกด unlike เพลง “ดุจดั่งสายฟ้า” จนยอด unlike เยอะกว่ายอด like เยอะมาก
จึงขออนุญาต ขอพลัง “คนรักในแผ่นดินไทย ในสถาบัน อันเป็นที่รักของเรา” เข้าไปกดเพิ่มยอดไลก์ (กดนิ้วโป้ง) สู้หน่อยครับ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี ต่อผืนแผ่นดินไทยที่บรรพบุรุษได้รักษามา เพื่อลูกหลานคนไทยครับ”
ก่อนหน้านี้ ตูน บอดี้สแลม โพสต์ภาพถ่ายคู่กับผู้ประพันธ์เพลง ดุจดั่งสายฟ้า พร้อมกับข้อความว่า บันทึกไว้เมื่อวันที่ 5 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2561 วันที่ซึ่งผมได้รับเกียรติอย่างสูง…อันหาที่สุดมิได้
ขอบพระคุณพี่ปุ้ม พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ประพันธ์บทเพลง ดุจดั่งสายฟ้า และอนุญาตให้ผมได้ขับร้องในเพลงๆ นี้ อันถือได้ว่าเป็นเกียรติสูงที่สุดในชีวิตสำหรับนักร้องตัวเล็กๆ อย่างผมที่ได้มีโอกาสขับร้องบทเพลงอันทรงเกียรติที่สุดในชีวิตครั้งนี้ครับ
โดยขณะนี้ มียอดคนกด Like 5.7 หมื่น และมียอด Unlike 8.4 หมื่นคน ขณะที่มีผู้เข้าชมกว่า 853,556 ครั้งแล้ว
สำหรับ ตูน บอดี้สแลม เคยทำโครงการวิ่ง “ก้าวคนละก้าว” เพื่อระดมทุนช่วยเหลือโรงพยาบาลที่ขาดแคลนทั่วประเทศ ซึ่งครั้งแรกวิ่งจากกรุงเทพมหานคร-บางสะพาน ในปี 2559 จากนั้นในปี 2560 วิ่งจาก อ.เบตง จ.ยะลา ไปจบ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งยอดบริจาคทะลุเป้ากว่าหนึ่งพันล้านบาท
และยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.ท.ภักดี แสง-ชูโต ผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ เชิญสิ่งของพระราชทาน ช่อดอกไม้ และเครื่องดื่มชูกำลัง มอบให้ นายอาทิวราห์ คงมาลัย และคณะโครงการก้าวคนละก้าว เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560
ด้านเจ้าตัวได้โพสต์ข้อความว่า ข้าพระพุทธเจ้า นายอาทิวราห์ คงมาลัย และคณะทำงาน ก้าวคนละก้าว มีความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ เป็นแรงใจที่ดีที่สุดในทุกย่างก้าวของข้าพระพุทธเจ้าและคณะทำงานทุกๆ คน ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560 บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้ไลฟ์สดผ่านแฟนเพจส่วนตัวขณะเตรียมตัวเพื่อไปร่วมวิ่งกับตูน บอดี้สแลม ในโครงการก้าวคนก้าว ที่ จ.ลำปาง พร้อมกับบริจาคเงิน 200,000 บาท เพื่อร่วมสมทบทุนกับโครงการด้วย
ครั้งนั้น เมื่อวิดีโอดังกล่าวถูกเผยแพร่ลงในโลกออนไลน์ ก็มีผู้มาแสดงความคิดเห็นว่า คนไทยไม่เคยทิ้งกัน ช่วยเหลือดูแลกันตลอด เหตุการณ์นี้ก็เป็นภาพที่ประทับใจมากเมื่อเห็น 2 ฮีโร่ของคนไทย มาร่วมช่วยกันในโครงการที่ดีเพื่อช่วยเหลือประเทศชาติ
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น 4 ผู้ประกาศดัง TOP NEWS ปิดดีล ลงนามร่วมมือผลิตข่าว ททบ.5 พร้อมเป็นกำลังหลัก ปกป้อง 3 สถาบันฯหลัก
เนื้อหาระบุว่า เรียกได้ว่ากำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมาก สำหรับสถานีข่าว TOP NEWS (ท็อปนิวส์) ซึ่งถือว่า เป็นหนึ่งในสถานีข่าวที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากทีมงานเบื้องหลังทุกคน ไปจนถึงผู้ประกาศข่าว คลุกคลีกับวงการข่าวสารในประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า 10 ปี จึงทำให้สถานีข่าวท็อปนิวส์ ถือว่าเป็นสถานีข่าวที่มีความน่าเชื่อถือ และเสนอความจริงได้อย่างไม่มีกั๊ก นั่นคือ เสน่ห์ ที่ทำให้ ท็อปนิวส์ เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะมีอายุไม่ครบปี
ต้องยอมรับว่า TOP NEWS มีกระแสตอบรับจากผู้ที่ติดตามเป็นอย่างมาก จากสถิติข้อมูลในโลกออนไลน์ พบว่า มียอดการรับชมผ่านการสตรีมมิ่งกว่า 200,000 คน/วัน ช่องทาง Facebook, Youtube
ล่าสุด พลโท รังษี กิติญาณทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก หรือ ททบ.5 แถลงข่าวเปิดตัวรายการใหม่เรียบร้อย
โดยเป็นการจับมือกับพันธมิตรร่วมผลิตรายการข่าว ททบ.5 มิติใหม่ พร้อมทั้งมีการดึง 4 พิธีกรข่าวดังจากช่อง TOP NEWS เช่น กนก รัตน์วงศ์สกุล, ธีระ ธัญไพบูลย์, สันติสุข มะโรงศรี และ สถาพร เกื้อสกุล เข้ามาเสริมทัพรายการข่าว หวังสร้างการเติบโตให้แก่เรตติ้งในปี 2565 ของ ททบ.5
ทั้งนี้ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล เปิดเผยถึงนโยบายในการนำเสนอข่าวภายใต้ ททบ.5 มีโจทย์ชัดเจน คือ 1. นำเสนอความจริง 2. ไม่ทำให้สังคมแตกแยก และ 3. นำเสนอความเคลื่อนไหวของสถานการณ์โควิด
นอกจากนี้ ทางด้านของ กนก ยังกล่าวเสริมด้วยว่า ในปี 2565 จะมีทีมงานเข้ามาเพิ่มอีกหลายคน ไม่เฉพาะพิธีกรหลักแค่ 4 คน อย่างแน่นอน ทั้งนี้ รายการข่าวใหม่ จะเริ่มออกอากาศครั้งแรก ในวันที่ 3 ม.ค. 65
นอกจากนี้ พลโท รังษี กิติญาณทรัพย์ ยังเปิดเผยด้วยว่า ดีใจมากที่ได้ พิธีกรทั้ง 4 คน มาร่วมงาน เสริมทัพและทำให้ช่อง ททบ.5 เติบโต
ก่อนปิดแถลงข่าว นายชัยวัฒน์ เตชะไพฑูรย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กาแล็กซี่ มัลติมีเดีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่เป็นผู้ลงนามในครั้งนี้ เปิดเผยในเบื้องต้นว่า การดำเนินการไม่เกี่ยวข้องกับ บริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิทัล มีเดีย จำกัด แต่จะยังคงยึดมั่นในการปกป้อง 3 สถาบันหลักของชาติ
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Suvinai Pornavalai ระบุว่า
“ผมขออภิปรายต่อจากโพสต์ที่แล้ว ที่เขียนถึงอาจารย์ปิยบุตร กับเลนิน และการปฏิวัติรัสเซียนะครับ
การปฏิวัติเป็นแค่รูปแบบหนึ่งของการตอบสนองแบบ “ตอบโต้อย่างรุนแรง” ต่อกระบวนการทำให้ทันสมัย (modernization) ของแต่ละประเทศในช่วงครึ่งหลังศตวรรษที่ 19 ถึงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 .... นี่คือมุมมองเชิง meta theory ที่สำคัญมากในการทำความเข้าใจตัวตนของแต่ละชาติที่กว่าจะมีมาจนถึงจุดนี้ในปัจจุบัน
สั้นๆ ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ประเทศทุกประเทศในเอเชียไม่ใช่แค่ประเทศไทย ล้วนเคยผ่าน “วิกฤตการปฏิวัติ” มาไม่มากก็น้อยในกระบวนการทำให้ทันสมัย โดยที่ระบบต่างๆ ทางสังคมก็พัฒนาขึ้นตามลำดับในระดับที่แตกต่างกันด้วย
เราพบว่า สังคมมนุษย์ในศตวรรษที่ 20 ได้พยายามทดลองครั้งใหญ่ 3 แนวทางด้วยกันผ่านขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อข้ามผ่านระบบทุนนิยม
(1) #แนวทางวิวัฒนาการไปเป็นอภิมนุษย์ของนิชเช่ ซึ่งปรากฏในรูปของขบวนการนาซีของฮิตเลอร์ที่จบลงด้วยความล้มเหลว
(2) #แนวทางปฏิวัติสังคมนิยมของมาร์กซ์ ซึ่งปรากฏในรูปของขบวนการปฏิวัติสังคมนิยมในหลายประเทศ แต่ที่ประสบความสำเร็จจริงๆ จนทุกวันนี้มีแค่ประเทศเดียว คือ ประเทศจีน ภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (3) #แนวทางปฏิรูปแบบเสรีนิยม ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกปัจจุบัน โดยที่แต่ละประเทศที่เลือกทิศทางปฏิรูปเสรีนิยมนี้ ล้วนต้องแบกมรดกหรือภาระจากอดีตมาด้วย
ผมคิดว่า มรดกความคิดทางการเมืองจากศตวรรษที่ 19-20 ที่ตกทอดมาถึงคนรุ่นปัจจุบัน มันก็มีทางเลือกแค่นี้แหละ คนรุ่นใหม่ควรถามตัวเองให้ชัดก่อนว่า จริงๆ แล้วตัวเองจะลุกขึ้นมาเรียกร้องอย่างเอาเป็นเอาตายในแนวทางไหนกันแน่?
ในสายตาของผม ขบวนการสามนิ้วของคนรุ่นใหม่ในปี พ.ศ. 2563-2564 เป็นขบวนการที่สับสนทางความคิดและมีความย้อนแย้งในตัวเองมากที่สุด เมื่อเทียบกับขบวนการก่อนหน้านี้ทั้งหมด ความตื้นเขินทางความคิด+ความหลงตัวเองในการแสดงออก ต่างหากที่เป็นที่มาของความล้มเหลวในการลุกขึ้นสู้ของพวกเขา ... อย่าโกรธผมนะ ที่ผมพูดตรงๆ แบบนี้”
แน่นอน, สิ่งที่เกิดขึ้นและเห็นได้ชัดในสังคมไทยเวลานี้ ก็คือ ผลพวงจากแนวคิด เปลี่ยนแปลงประเทศ หรือ “ปฏิวัติ” โดยประชาชน ซึ่งมีนักวิชาการบางคนที่ “คลั่งปฏิวัติฝรั่งเศส” ร้อนวิชา ปลุกกระแส “ปฏิรูป” แบบ “ปฏิวัติล้มเจ้า” ในประเทศไทย เพราะเชื่อว่า จะนำไปสู่การปฏิวัติอย่างแท้จริงได้ จากนั้นก็มีสาวกจำนวนหนึ่ง ทั้งนักธุรกิจการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักวิชาการในมหาวิทยาลัย เห็นดีเห็นงามด้วย ทั้งที่ไม่รู้ว่า ประชาชนจะเอาด้วยหรือไม่
แต่ความพยายามปลุกกระแส ผลิตซ้ำวาทกรรมหมิ่นเหม่ โดยอ้างความเป็น “ประชาธิปไตย” โดยเฉพาะผ่านทางโลกโซเชียล และลูกศิษย์ลูกหาในมหาวิทยาลัย จึงเกิดกระแสคนรุ่นใหม่คล้อยตาม
กระทั่งออกแบบการต่อสู้ ทั้งในรัฐสภา โดยการตั้งพรรคการเมือง และนอกสภา ในการปลุกระดมมวลชนคนรุ่นใหม่ลงท้องถนน อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ คือ ม็อบสามนิ้ว
ทั้งหมด คือ การสนองตัณหานักวิชาการล้มเจ้า ที่ตัวเองไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับ และเผยตัวตน ซึ่งอาจไม่ใช่แค่คนเดียว
กลับกลายเป็น ด้านหนึ่ง ปลุกให้มีนักศึกษา เยาวชนบางกลุ่มหลงคะนอง ออกมาชุมนุมประท้วง จาบจ้วงล่วงละเมิด ทำผิดกฎหมาย กดดันด้วยข้อเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบัน” เป็นอย่างต่ำ เพื่อที่จะทะลุเพดานต่อไป (พวกเขาพูดเอง) จนในที่สุด เด็กเยาวชนเหล่านี้ ต้องถูกจับดำเนินคดี โดยที่ไม่มีเจ้าของความคิด และผู้สนับสนุนคนไหนออกมารับผิดชอบอย่างจริงจัง นอกจากเศษเงินโยนมาให้ประกันตัว (บริจาค) และนับวันเห็นจุดจบอยู่ที่คุกเป็นส่วนใหญ่...
อีกด้าน คือ สังคมไทย ที่มีการแตกแยกแบ่งฝ่าย เนื่องจากขบวนการ “สาวกล้มเจ้า” หรือ “สามกีบ” ในโซเชียล ตอบโต้ผู้เห็นต่าง หรือใครก็ตามที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการต่อต้าน เหยียดหยาม คุกคาม ล่าแม่มด หรือที่เรียกเอาทัวร์ลง เพื่อแสดงให้เห็นว่า อยู่คนละฝ่าย โดยไม่สนใจว่า เป็นการคิดดี ทำดี เพราะการอ้างตัวเอง เป็นฝ่ายประชาธิปไตย จึงคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำถูกหมด ต่อให้เป็นการทำผิดกฎหมายก็ตาม และสิ่งที่ “ตูน” เจออยู่ก็คือ เรื่องนี้นั่นเอง
ส่วนการที่ “ททบ.5” นำเอา 4 ขุนพล TOP NEWS อย่าง กนก รัตน์วงศ์สกุล, ธีระ ธัญไพบูลย์, สันติสุข มะโรงศรี และ สถาพร เกื้อสกุล มาร่วมผลิตข่าว ประเด็นที่เห็นชัดในทันทีทันใด ก็คือ การเปิดแนวรบ เพื่อต่อสู้กับ “สื่อล้มเจ้า” อีกหลายค่าย ที่ล้วนแต่ไม่ธรรมดา และมีทุนสูงในการสนับสนุน และทำให้เห็นเช่นกันว่า แม้แต่สื่อมวลชน ก็แบ่งฝ่าย ซึ่งเรื่องนี้คนในวงการต่างรับรู้กันดี?
ความจริง ก่อนหน้านี้ กลุ่มคนที่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ เคยออกมาเสนอให้รัฐบาล มีกระบอกเสียงในการตอบโต้ หรือ ปกป้องสถาบันฯบ้าง เพราะพวกเขาทนไม่ได้ที่มีการปล่อยให้มี ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือน เกี่ยวกับสถาบันฯเผยแพร่ออกมาเป็นว่าเล่น แต่รัฐบาล หรือ ฝ่ายที่รับผิดชอบ ก็ไม่มีการแก้ไขอะไร ปล่อยให้สังคมสับสน และบางคนหลงเชื่อข่าวลือข่าวปลอมมาตลอด ครั้งนี้ก็คงสมใจคนที่จงรักภักดีต่อสถาบัน และเรียกร้องดังกล่าว
เพราะอย่าลืม 4 ขุนพล TOP NEWS ดังกล่าว ไม่เพียงแค่คนข่าวมืออาชีพเท่านั้น หากแต่ถ้าพูดถึงความจงรักภักดีและการปกป้องสถาบันฯแล้ว พวกเขาถือว่า เป็นแถวหน้าเลยทีเดียว
และแนวทางข่าวจากการเปิดเผยของผู้บริหาร ก็จะยังคงยึดมั่นในการปกป้อง 3 สถาบันหลักของชาติ นี่ก็ถือว่าชัดเจน
เหนืออื่นใด ดร.สุวินัย วิเคราะห์ขบวนการ “สามนิ้ว” เอาไว้อย่างชัดแจ้ง ตั้งแต่ “หัวโจก” ที่ “คลังปฏิวัติ” ยัน “หางแถว” ที่หลงเชื่อและทำตามเท่านั้นเอง ทั้งยังสับสนย้อนแย้งในตัวเอง รวมทั้งตื้นเขินทางความคิด บวกกับ หลงตัวเอง จึงนำไปสู่ความล้มเหลว
ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ด้วยเหตุผลใด จึงจะปล่อยให้พวกเขา สร้างความวุ่นวานในสังคม ทำลายทรัพย์สินทางราชการ และสร้างความเสียหายให้กับประเทศต่อไป?