เมืองไทย 360 องศา
ต้องเรียกว่าคนที่แอบอยู่ข้างหลังคอยชักใยยุยงบรรดา “ม็อบสามนิ้ว” ที่กลายพันธุ์มาในชื่อเรียกกันเองว่า “ม็อบทะลุฟ้า” และ “ม็อบทะลุแก๊ส” เป็นกลุ่มคนที่ “ใจดำ” ใช้ได้เลยทีเดียว เพราะสภาพของพวกม็อบดังกล่าวเวลานี้ไม่ได้มีสภาพเป็นการชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองแต่อย่างใด เพราะมีสภาพไม่ต่างจากพวก “ป่วนเมือง” สร้างความวุ่นวายให้กับสังคมได้อย่างชัดเจนไปแล้ว
ขณะเดียวกัน บรรดาม็อบดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเด็กอาชีวะ รวมไปถึงวัยรุ่นวัยคึกคะนอง หรือที่เรียกว่า “เด็กแว้น” และภาพการชุมนุมที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มแรกจึงมักออกมาในแบบรุนแรง มีการใช้อาวุธ ทั้งประเภทปืนสั้น ระเบิดปิงปอง ประทัดยักษ์ หนังสติ๊ก ลูกหิน ลูกแก้ว รวมไปถึงการเผายางรถยนต์กลางถนน และล่าสุด มีการเผาป้อมตำรวจ และสถานที่ราชการ และทรัพย์สินสาธารณะมากขึ้น
แต่อีกด้านหนึ่ง เมื่อพิจารณาจากจำนวนมวลชนเมื่อเปรียบเทียบจากช่วงแรกที่เริ่มชุมนุมบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง มาจนถึงวันนี้เห็นได้ชัดเจนว่ามีจำนวนลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จากหลักพัน จนเป็นหลักร้อย และเวลานี้น่าจะเป็นหลักสิบเท่านั้น
ส่วนสำคัญสาเหตุมาจาก “ไร้ทิศทาง” ไม่ใช่มีลักษณะการชุมนุมที่มีข้อเรียกร้องทางการเมือง แต่มีลักษณะมารวมตัวกันเพื่อเจตนา “ก่อความวุ่นวาย” ในบ้านเมือง หรือมาเพื่อต้องการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเผา เพื่อยั่วยุให้เกิดภาพความรุนแรง หรือให้เจ้าหน้าที่ใช้กำลังเข้าสลายปราบปราม เหมือนกับมีเจตนา “สร้างเงื่อนไข” บางอย่างขึ้นมา
อย่างไรก็ดี เมื่อภาพของการชุมนุมที่ออกมาในลักษณะที่เป็นการชุมนุมของกลุ่มวัยรุ่น เด็กอาชีวะ ที่เป็นภาพของการมีเจตนาสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายดังกล่าว มันก็ยิ่งไม่มีแนวร่วม ไม่มีมวลชนเข้ามาเพิ่ม นับวันมีแต่ลดน้อยถอยลงไปทุกวัน บรรดาแกนนำที่พอมีชื่ออยู่บ้าง ที่ก่อนหน้านี้มีการเข้าร่วมเคลื่อนไหวชุมนุมในช่วงแรกๆ แต่ระยะหลังล้วนหายหน้าหายตากันไปแทบเกลี้ยงแล้ว และแม้ว่าบรรดาคนพวกนี้จะยัง “ชูสามนิ้ว” และต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลชุดนี้ แต่เมื่อมาเจอกับม็อบเด็กแว้น เด็กอาชีวะ ที่เน้นการขว้างระเบิดขวด ระเบิดปิงปอง ประทัดยักษ์แบบนี้ พวกเขาก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน จึงต้องหลบมาอยู่หลังฉาก ใช้สื่อโชเชียลฯโจมตีรัฐบาล โจมตีเผด็จการแบบเดิม
เมื่อย้อนกลับมาที่ม็อบ ในชื่อเรียกว่า “ทะลุฟ้า” และ “ทะลุแก๊ส” ที่เวลานี้เริ่มย้ายสถานที่จากแยกดินแดง ไปตามที่ต่างๆ หลายแห่งในพื้นที่กรุงเทพฯ หลังจากมีคนเข้าร่วมน้อยมากเพียงแค่หลักสิบเท่านั้น ขณะเดียวกัน ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ปรับแนวทางในการรับมือพวกม็อบแบบรายวัน จากเดิมที่มีการใช้อุปกรณ์และกำลังเข้าสลายการชุมนุมแบบเต็มพิกัด ทั้งแก๊สน้ำตา กระสุนยาง รถน้ำแรงดันสูง เป็นต้น แต่เมื่อพวกม็อบมีจำนวนน้อยลง ประกอบกับการติดตามจับกุมผู้กระทำผิด มีการออกหมายจับเป็นจำนวนมาก
จากการแถลงของ พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น.ในฐานะโฆษก บช.น.กล่าวถึงการนัดหมายชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 23-26 ก.ย. 64 บช.น.เตือนว่า กรุงเทพฯ ถูกประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, พ.ร.บ.โรคติดต่อ โดยจัดกำลังตำรวจรักษาความสงบเรียบร้อย และอำนวยความสะดวกด้านการจราจรไว้แล้ว
ส่วนการชุมนุมเมื่อวันที่ 22 ก.ย. ที่แยกสามเหลี่ยมดินแดง เวลา 18.20 น. กลุ่มทะลุแก๊ส ได้นำยางรถจักรยานยนต์มาเผาบนถนนวิภาวดีรังสิต ขาออก นำป้ายมาผูกขวางถนนใต้ทางด่วน เวลา 20.30 น. นำแผงเหล็กปิดกั้นการจราจร จุดไฟเผาทรัพย์สินใต้ทางด่วน ประชาชนไม่สามารถสัญจรได้ เวลา 21.20 น. ขว้างปาประทัด ยิงหนังสติ๊ก พลุไฟ ระเบิดต่างๆ เพื่อยั่วยุตำรวจฝั่งถนนมิตรไมตรี และหน้ากรมดุริยางค์ทหาร เวลา 23.20 น. ฉีดสีสเปรย์ใส่เกาะกลางถนนวิภาวดีรังสิต ขาเข้า ทรัพย์สินสาธารณประโยชน์เสียหาย
ตั้งแต่เวลา 00.30-02.40 น. มวลชนขับรถจักรยานยนต์ ประมาณ 20 คัน ตระเวนทุบทำลาย และเผาป้อมตำรวจจราจร 6 จุด ได้แก่ สน.บางซื่อ 3 จุด ที่แยกสะพานควาย แยกประดิพัทธ์ ทางด่วนระนอง, สน.ลุมพินี 1 จุด ที่แยกราชประสงค์, สน.พญาไท 1 จุด ที่แยกอุรุพงษ์, สน.มักกะสัน 1 จุด ที่แยกมิตรสัมพันธ์ ตำรวจอยู่ระหว่างสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน หาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ในข้อหา “ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง, เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมให้เลิกไปแล้วไม่เลิก, วางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น, ทำให้เสียทรัพย์, ออกนอกเคหสถานในเวลาห้าม (เคอร์ฟิว), พ.ร.ก.ฉุกเฉิน”
“บช.น.จะสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในการก่อความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง มาดำเนินคดีตามกฎหมายทุกราย หากเยาวชนได้กระทำความผิด ผู้ปกครองอาจจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ส่วนการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมตั้งแต่เดือน ก.ค. 64 มีทั้งสิ้น 220 คดี มีผู้ต้องหา 808 ราย จับกุมตัวได้แล้ว 563 ราย” รอง ผบช.น. กล่าว
แน่นอนว่า ด้วยจำนวนตัวเลขผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับจำนวนกว่า 800 คน และถูกจับกุมตัวได้แล้ว 563 คนดังกล่าว ถือว่าเป็นจำนวนที่มาก และเชื่อว่า จะทยอยจับกุมมาได้เพิ่มอีกเรื่อยๆ จากพยานหลักฐานที่หาได้ไม่ยากจากกล้องวงจรปิดอยู่ทั่วกรุง และที่ต้องตระหนักก็คือ แค่ข้อหา “วางเพลิง” ทำลายทรัพย์สินทางราชการข้อหาเดียวนั้น ก็ถือว่า “หนัก” อยู่แล้ว ยังไม่นับข้อหาก่อความวุ่นวาย มั่วสุม ที่เป็นคดีอาญาติดตัว เมื่อถึงตอนนั้นจะสำนึกก็อาจสายไปแล้ว เพราะพวกเขาหลายคนยังเป็นเยาวชน แม้ว่าในช่วงหลังจากข้อมูลของตำรวจจะระบุว่า จะเป็นวัยผู้ใหญ่เสียส่วนมาก แต่ไม่ว่าวัยไหน หากจับกุมได้และส่งฟ้องศาล เมื่อมีคำพิพากษาออกมารับรองว่า “อ่วม” ไม่มีทางสนุกแน่นอน
แต่ที่น่าประณามก็คือ คนที่อยู่เบื้องหลังคอยยุยงให้วัยรุ่น เยาวชนพวกนี้ ก่อความวุ่นวายเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง มีการกระทำสั่งการเป็นขบวนการ โดยเฉพาะ “มีทีมกฎหมาย” คอยช่วยเหลือม็อบที่ถูกจับกุม และให้ทุนรอนในการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ถือว่า “อำมหิตร้ายกาจ” มาก เพราะตัวเองไม่กล้าออกมา ดีแต่ยุยงคนอื่นออกไปรับเคราะห์แทน แม้ว่าแนวทางแบบนี้ไม่มีทางสำเร็จ เพราะมีแต่คนเอือมระอา
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็ต้องรอดูว่า บรรดาม็อบ “ทะลุโลก” พวกนี้จะยุติลงเมื่อไหร่ แต่ดูตามรูปการณ์แล้วคงต้องจบลงที่คุกสถานเดียว !!