“สุดารัตน์” รับ รบ.จำเป็นขยายกรอบกู้เงิน แต่ต้องวางแผนให้เกิดประสิทธิผล เบรกหว่านเงิน-โปรยทาน ฝาก 3 ข้อ เยียวยา ปชช.กระตุ้นการบริโภค เยียวยา SMEs ให้เดินต่อได้ ยกระดับราคาสินค้าเกษตร ชี้ หากเข้าที่ต้องลดเพดานหนี้ลงที่ 60% เหมือนเดิม จี้เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฟื้น ศก.
วันนี้ (21 ก.ย. 64) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีที่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบกรอบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จากเดิมไม่เกินร้อยละ 60 เป็นไม่เกินร้อยละ 70 ว่า ดิฉันเห็นว่า ขณะนี้มีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงิน เพื่อรองรับวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ที่สำคัญ ต้องมีแผนการใช้เงินจากการกู้ยืมเพิ่มดังกล่าวให้เกิดประสิทธิผล และเกิดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจอย่างสูงสุด สามารถสร้างกำลังซื้อให้กลับคืนมาอย่างแท้จริง มิใช่การหว่านแจกเงินแบบโปรยทานที่ไร้ประสิทธิภาพ
คุณหญิงสุดารัตน์ เสนอด้วยว่ารัฐบาลควรดำเนินการ ดังนี้
1. นำไปใช้ในการเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน อย่างเพียงพอที่จะทำให้เกิดกำลังซื้ออย่างมีนัยสำคัญ เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายใน
2. เยียวยาธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบ ขาดรายได้ จากมาตราการของรัฐ พร้อมสนับสนุนเงินทุน และส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยให้มีทุนเพียงพอ ที่จะกลับมาประกอบการค้าได้ใหม่ได้
และ 3. ยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายน ผลผลิตข้าวเปลือกนาปีประมาณ 20 ล้านตัน ข้าวเปลือกจะเริ่มออกสู่ตลาด จึงต้องเร่งยกระดับราคา เพื่อเพิ่มรายได้ เพิ่มกำลังซื้อให้กับเกษตรกร
ทั้งนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว อันจะทำให้ประชาชน และธุรกิจต่างๆ ฟื้นตัวได้ รวมทั้งจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลง เพื่อให้อยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง ที่กำหนดไว้เดิมคือไม่เกินร้อยละ 60 ซึ่งมีความเหมาะสมกับฐานะทางการคลังของประเทศ
นอกจากนี้ รัฐบาลจะต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการ “ยกเลิก” การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะเป็นการจำกัดสิทธิ และเสรีภาพของประชาชนในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการบริโภคภายใน อีกทั้งเป็นการส่งสัญญาณถึงความไม่ปกติของประเทศ อันเป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยวและการลงทุน โดยเฉพาะจากนี้จะเป็นช่วง High Season ของฤดูการท่องเที่ยว ของทั้งคนไทยและต่างประเทศ จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่รัฐบาลจะเริ่มต้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น