xs
xsm
sm
md
lg

เอาเข้าไป! สามนิ้วโหน “ลิซ่า” ด้อยค่า ปท.ไทย “อานนท์”ชะตาช้ำหนัก โดน 112 ถึง 14 คดี วืดประกันตัวครั้งที่ 5

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ สามนิ้วโหน “ลิซ่า” ด้อยค่าปท.ไทย ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ทูตนริศโรจน์ เฉ่งสามนิ้ว โหน “ลิซ่า” ด้อยค่าปท.ไทย ปั่นฉากใน MV โยงการเมือง คนใกล้ชิดเผย นักร้องดังรัก “ในหลวง” รัชกาลที่ 9 สุดชีวิต “อานนท์” กระอักแน่โดนแจ้ง ม.112 อีก รวมแล้ว 14 คดี วืดประกันตัวครั้งที่ 5

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(11 ก.ย.64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น ทูตนริศโรจน์ เฉ่งสามนิ้ว โหน “ลิซ่า” ด้อยค่าปท.ไทย ปั่นฉากใน MV โยงการเมือง

โดยระบว่า จากปรากฎการณ์ที่ทำให้หลา่ยคนพูดถึงกันทั่วโลก นั่นคือ การปล่อย single เพลง LALISA งานเดี่ยวของ ลิซ่า BlackPink ศิลปินที่ดังไปทั่วโลก และมีแฟนคลับเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็น MV เพลงที่บ่งบอกถึงความเป็นไทย มียอดผู้เข้าชมกว่า 65 ล้าน ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึง ปราสาทหิน ซึ่งคาดว่าน่าจะถอดแบบมาจาก ปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์จังหวัดบ้านเกิดของลิซ่า และยังมีดรามาต่างๆมากมายเกิดขึ้น มีการพูดถึงกันเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ ยังมีแฟนคลับชาวกัมพูชา เข้ามากล่าวว่า เลือดของลิซ่าเขมร 100% บุรีรัมย์ = เขมร ลิซ่าคือความภาคภูมิใจของชาวเขมร

ภาพ “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ในขณะที่แฟนคลับในประเทศไทยก็ได้กล่าวว่า ไม่ว่าเพื่อนบ้านจะพยายามเคลมขนาดไหน แต่สุดท้ายความจริงก็คือ “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” หรือ Lisa Blackpink เธอเป็นชาวจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นคนไทย สัญชาติไทย เชื้อชาติไทย และมีบัตรประชาชนไทย ดังนั้นในทางกฎหมายและสายเลือดของชาติกำเนิดเธอคือคนไทย 100%

และถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เด็กไทยคนหนึ่งได้รับการยอมรับสนับสนุน และมีผู้ชื่นชอบชื่นชมในระดับโลก จากความสามารถและความพยายามของเธอ เป็นคนไทยที่ไปเป็นศิลปินเกาหลี แต่วันนี้เธอเป็นศิลปินแถวหน้าของโลกแล้วโดยไม่มีข้อกังขาอีกด้วย
ต่อมา นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า

น้อง Lalisa ปล่อย single เพลงออกมา กระหึ่มโลก คนแห่กดไลค์เป็นล้านๆคนในไม่กี่นาที กูรูนักวิจารณ์เพลงอย่าง DT Parker ยังออกปากชมว่า เป็น MV ที่ดีที่สุดในโลกอันหนึ่งในช่วงเวลานี้ แต่ปรากฏว่ามี 3 นิ้วออกมาวิจารณ์ฉากที่มี Lalisa ถือโทรโข่งเดินนำหน้า คฝ. 3 นิ้วรับไม่ได้ดิ้นกันพล่าน

อีกฉากที่มีชฎาที่ MV สอดแทรกเพื่อสื่อว่า Lalisa เด็กสาวจากไทยมาที่เกาหลี 3 นิ้วก็ดิ้นพล่านรับไม่ได้

โอ๊ย…คุณ ເມຶງ ເป็นอารายกันนักหนา !? ใจคอ ເມຶງ ต้องการจะดิสเครดิตด้อยค่าประเทศไทยให้ตกต่ำตลอดเวลางั้นรึ ? Sun Dance

นอกจากนี้ ชาวเน็ตยังเอา MV ที่มีฉากกลุ่มผู้ชาย แต่งตัวคล้ายเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน ไปเชื่อมโยง และกล่าวกันเล่นๆ ต่างๆ นานาว่า ฉากนี้ไทยที่สุด เพราะมี ‘คฝ.’ หรือหน่วยควบคุมฝูงชน ที่มักจะปรากฏตัวในการชุมนุมต่างๆ ภายในประเทศไทย อยู่ภายในเพลงด้วย รวมถึงฉากควันฟุ้งสีขาวๆ ก็เปรียบเทียบกับแก๊สน้ำตา ที่โยงการเมือง

จากนั้น ผู้ใช้เฟซบุ๊ครายหนึ่งได้โพสต์ข้อความถึง ลิซ่า BlackPink ว่า ที่ร้านวินเทจ บนเกาะเชจูมิ มีจี้รูปในหลวง ร.9 ขาย ลิซบอกหนูจะซื้ออันนี้ พอพิซูเห็นก็บอก ในหลวงของประเทศไทยนิ จากรายการ Blackpink House ที่ลิซ่าได้ไปเดินดูร้านขายของเก่า บนเกาะเชจูมิ

และได้พบกับเหรียญในหลวงรัชกาลที่ 9 ลิซาเลยพูดขึ้นว่า ”นี่เป็นเหรียญพระเจ้าอยู่หัวของฉัน ซึ่งไม่ควรจะต้องมาอยู่ที่นี่ ฉันควรจะซื้อกลับไปด้วย”
อยู่ตอนไหนในรายการ Blackpink House ไปดูกัน

ภาพ “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” ที่ถูกโยงการเมือง ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
นอกจากนี้ ครูก้อย สุภาพรรณ หรือ ครูก้อย เอเอฟ ที่เคยเป็น Voice Trainer ให้กับเหล่านักล่าฝันเวทีเอเอฟ 10 11 และ 12 ได้โพสต์ภาพตนเองกับลิซ่าและเดียร์น่าเมื่อครั้งที่เดินทางไปกราบพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งในช่วงนั้นลิซ่ายังเป็นศิลปินฝึกหัดค่าย YG พร้อมทั้งเขียนข้อความเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า

“ไปทำงานต่างบ้านต่างเมือง แต่ไม่เคยลืมว่า ตัวเองเป็นคนไทย ความตั้งใจคือจะต้องมากราบพระบรมศพ เหมือนคนไทยทุกคนที่รักพ่อหลวง รัชกาลที่ 9 พอมีจังหวะรีบมาเมืองไทย ไม่มีเวลาตัดชุด คุณแม่ซื้อชุดเตรียมไว้ให้ หลวมไม่พอดีตัว ใช้เข็มกลัดติดเอา

ตื่นตีสี่ มาต่อคิวเข้าแถวแต่เช้าเหมือนทุกคน ทานข้าวต้มที่จัดบริการประชาชน กว่าจะได้เข้ากราบ รอประมาณ 9 ชม. ลิซ่าไม่บ่นสักคำ บางคนรอนานกว่าเราอีก น้ำตาคลอ ปลื้มปริ่มหัวใจกันทุกคน ขากลับกินอาหารและเฉาก๊วยที่สำนักพระราชวังจัดให้ประชาชน เดินไปกินไป นั่งรถเมล์ที่จัดบริการเพื่อไปต่อรถด้านนอก เพราะรถเข้ามาไม่ได้ ครูก้อยชวนเดียร์น่ามาด้วย เดียร์น่าป่วยเป็นไข้ แทนที่จะพัก แต่ตั้งใจมา ต้องมานอนหนุนตักครูช่วงรอเพราะฤทธิ์ไข้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ลิซ่าก็ยังสำนึกและภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย รูปนี้ถ่ายไว้ 3/2/17”

ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น อานนท์กระอักโดนแจ้งม.112 อีก รวมแล้ว 14 คดี ประกันตัวครั้งที่ 5 ยังวืด

เนื้อหาระบุว่า วันนี้เฟซบุ๊ก ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์ข้อความพร้อมแบนเนอร์ถึงคดีของอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มราษฎร ที่ไม่ได้รับการประกันตัว และยังถูกแจ้งข้อหาความผิดมาตรา 112 เพิ่ม ไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง

ทั้งนี้โดยศูนย์ทนายความฯ ระบุว่า วันที่ 10 ก.ย. 64 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ยื่นคำร้องขออำนาจศาลฝากขัง “อานนท์ นำภา” เป็นครั้งที่ 4 ในคดีจากการปราศรัยในการชุมนุมครบรอบ 1 ปี #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 64 โดยหลังการไต่สวน ศาลได้อนุญาตฝากขัง ขณะที่ทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นครั้งที่ 5 แต่ศาลยังไม่ปล่อยชั่วคราว

ทนายความ ยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา รัชดาฯ เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ใน 3 คดี เป็นครั้งที่ 4 ได้แก่ คดีสาดสีหน้า สน.ทุ่งสองห้อง, คดีสาดสีหน้าพรรคภูมิใจไทย และคดีชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ซึ่งศาลเคยให้ประกัน และถอนประกันเมื่อ 11 ส.ค. ต่อมาทั้งสองศาล มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม

นอกจากนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยังโพสต์ข้อความถึงกรณีของนายอานท์ อีกว่า

วันที่ 8 ก.ย.64 พนักงานสอบสวน บก.ปอท. ได้เข้าแจ้งข้อหาหมิ่นกษัตริย์ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ม.14 (3) จาก 2 โพสต์เฟซบุ๊กของอานนท์ ช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 2564 โดยโพสต์ดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวกับการตั้งคำถามถึงการบริหารราชการแผ่นดินของรัชกาลที่ 10

โดยพ.ต.ท.ทศพร ศรีสัจจา สารวัตร (สอบสวน) กก.2 บก.ปอท.ได้แจ้งพฤติการณ์ให้อานนท์ทราบผ่านระบบวิดิโอคอนเฟอเรนซ์ของทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง พร้อมมีทนายความร่วมฟังการสอบสวนอยู่ด้วย ระบุว่า

ภาพ นายอานนท์ นำภา จากแฟ้ม
ได้พบผู้ใช้เฟซบุ๊ก บัญชีชื่อ “อานนท์ นําภา” มีการลงเผยแพร่ข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 64 และ 3 ก.พ. 64 จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ สำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง
โพสต์ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ประกอบด้วย วันที่ 11 ม.ค.64 เวลา 21.42 น. และ วันที่ 3 ก.พ.64 เวลา 20.25 น.

พนักงานสอบสวนได้แจ้ง 2 ข้อหา ได้แก่ “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ และนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร”

เบื้องต้นอานนท์รับว่า เป็นเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว และเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง แต่ปฏิเสธว่า ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพราะเป็นการแสดงความคิดเห็นติชมโดยสุจริต และต้องการให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่อย่างสง่างามในระบอบประชาธิปไตย โดยจะทำคำให้การในประเด็นอื่นเป็นหนังสือยื่นต่อพนักงานสอบสวนภายใน 30 วัน พร้อมทั้งระบุพยานเอกสารและพยานบุคคล

อย่างไรก็ตาม ศูนย์ทนายความฯ ยังเปิดเผยด้วยว่า อานนท์ถูกดำเนินคดี “หมิ่นประมาทกษัตริย์” หรือมาตรา 112 คดีนี้เป็นคดีที่ 14 แล้ว ทั้งหมดถูกดำเนินคดีหลังการเคลื่อนไหวเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2563 เป็นต้นมา ซึ่งอานนท์ได้เริ่มปราศรัยในที่สาธารณะถึงประเด็นปัญหาสถานะและบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในสังคมไทย ก่อนจะนำไปสู่ข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ โดยคดีทั้งหมดถูกดำเนินคดีจากการปราศรัยในการชุมนุมต่างๆ รวม 11 คดี และจากการโพสต์เฟซบุ๊กอีก 3 คดี

สำหรับกฎหมายอาญา มาตรา 112 ระบุว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

แน่นอน, ประเด็นที่น่าคิดอย่างมากก็คือ ผลพวงจากการชุมนุมทางการเมือง หรือ “ม็อบ 3 นิ้ว” เพื่อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์, แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ไม่เว้นแม้แต่ หมาด 1 และหมวด 2(พระมหากษัตริย์) และขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมองคาพยพออกไป

จากนั้น ก็กลายเป็นกระแสแบ่งแยกประชาชนคนไทยอย่างรุนแรง เพราะเริ่มแบ่งฝ่าย ระหว่างฝ่ายก้าวหน้า ประชาธิปไตย กับ ฝ่ายเผด็จการ อำนาจนิยม อนุรักษ์นิยม

จากนั้น ก็เริ่มด้อยค่าอีกฝ่าย ว่า เป็นพวกขี้ข้า พวกสลิ่ม หัวโบราณ

ส่วนอีกฝ่าย ก็ตอบโต้เป็นพวก สามกีบ พวกชังชาติ พวกด้อยค่าวัฒนธรรม และสถาบันหลักประเทศตัวเอง โดยฝักใฝ่ประเทศตะวันตก ที่เป็นเสรีประชาธิปไตย

แล้วที่น่าเศร้าเข้าไปใหญ่ ก็คือ ฝ่ายสามกีบ ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับที่อ้างตัวเป็น ฝ่ายประชาธิปไตย เนื่องจากชอบ “ล่าแม่มด” คนเห็นต่าง หรือที่เรียกกันว่า เอาทัวร์ไปลง การแบนสินค้าที่เกี่ยวข้อง อะไรสารพัดเพื่อกดดันบีบคั้นให้มีความเห็นคล้อยตาม ไม่เช่นนั้น ก็จะอยู่ร่วมสังคมกันไม่ได้

หนักเข้า ถึงขั้นเอะอะอะไร ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความดีงามตามวัฒนธรรมไทย สัญลักษณ์ที่แสดงความเป็นไทย อันบ่งบอกและสนับสนุนให้รัฐบาลได้หน้า ได้รับความนับถือ เชื่อถือ ประเทศไทยได้ชื่อเสียง คนพวกนี้ก็จะทำตัวเป็นฝ่ายต่อต้าน และชิงชังเรื่องนั้นขึ้นมาทันควัน อย่างเรื่อง “ลิซ่า” เป็นตัวอย่างได้ดีที่สุด

แล้วก็ไม่แต่สาวกเท่านั้น ที่ทำเช่นนี้ แม้แต่แกนนำ ที่ไล่ตั้งแต่แกนนำม็อบ แกนนำที่สนับสนุนม็อบ นักวิชาการที่สนับสนุนม็อบ นักการเมือง ส.ส.ที่สนับสนุนม็อบ “อีแอบ” ที่แอบไม่มิดแล้ว ต่างก็ชักชวน ชี้นำ ด้อยค่า ในสิ่งที่สังคมไทยส่วนใหญ่ เห็นถึงคุณค่ามาตลอดเช่นกัน ลองกลับไปไล่อ่านโพสต์ความคิดเห็นของคนเหล่านี้ดูก็ได้

ถ้าจะว่าไปแล้ว ก็ไม่แปลก เพราะพวกเขาเหล่านี้ ประกาศชัดเจนอยู่แล้วว่า พวกเขาต้องการ “ปฏิวัติ” ไม่ใช่ “ปฏิรูป” และตั้งความหวังเอาไว้สูงว่า ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งความหมายก็คือ เปลี่ยนแปลงทั้งหมด? หมายถึงอะไร คงไม่ต้องอธิบายอีกแล้ว

ข้อเสนอก็คือ ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศถึงขนาดนั้น ทำไมไม่ลงพื้นที่ ไปสร้างความนิยมกับประชาชนคนส่วนใหญ่ให้ได้ก่อน ไม่ว่าจะไปช่วยเหลือในสิ่งที่ประชาชนด้อยโอกาส ไปส่งเสริมคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจปากท้อง และที่สำคัญ ให้ความรู้ความเข้าใจทีถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองและประชาธิปไตย แต่ไม่ได้หมายความว่า ไปปลุกระดมความคิดตัวเองอย่างเดียว อย่างที่เป็นอยู่

ให้ประชาชนเห็นว่า สิ่งที่พวกตนคิดมันถูกต้องชอบธรรมแล้ว ด้วยเหตุด้วยผลที่น่าเชื่อถือ จับต้องได้ จนประชาชนพร้อมที่จะก้าวไปด้วยกัน ซึ่งแน่นอนจะต้องใช้เวลา และความเชื่อใจจากประชาชน ทำได้หรือไม่??? ถ้าจริงใจ

เพราะที่ทำอยู่ ไม่ต่างจากการบังคับขืนใจประชาชน โดยใช้ม็อบกดดันทางการเมือง บีบรัฐสภาให้เห็นด้วย ไล่ล่าประชาชนให้เห็นตาม ประณาม หยามหมิ่น ประชาชนที่แสดงออกในทางตรงข้ามกับตัวเอง ใช้สื่อโซเชียลปลุกกระแส บิดเบือนข้อมูลให้เชื่อข่าวปลอม ข่าวใส่ร้ายป้ายสีสถาบันฯ อย่างที่ “อานนท์” โดนคดี ก็มีสาเหตุมาจากการกระทำเช่นนี้นั่นเอง

ทั้งหมดนี้จะปฏิวัติประเทศไทยได้อย่างไร และเหมือนกับดูถูกคนไทย ว่าไม่มีความคิดด้วยซ้ำ ถ้ายังขืนดันทุรังต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น