xs
xsm
sm
md
lg

ศบค.คงเคอร์ฟิว ถึง 30 ก.ย.พื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัดเดิม ขยายฉีดวัคซีนกลุ่ม 12 ปีขึ้นไป เพื่อเตรียมเปิดเรียน ต.ค.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายกฯ ประชุม ศบค.คงระดับของพื้นที่และมาตรการควบคุมเคอร์ฟิวถึง 30 ก.ย. ไม่ปรับลดพื้นที่แดงเข้ม 29 จังหวัด เตรียมขยายฉีดวัคซีนกลุ่มอายุ 12 ปีขึ้นไป เพื่อความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนภายในเดือนตุลาคม 2564 พร้อมห่วงน้ำท่วมสั่งเตรียมเผชิญเหตุ

วันนี้ (10 ก.ย.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.สั่งติดตามการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ หลังจากองค์การอนามัยโลกได้ประกาศการยกระดับการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ MU (มิว) เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบการแพร่ระบาดในประเทศไทย รวมทั้งขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อสังเกต ข้อเสนอแนะ หรือข้อท้วงติงที่เป็นประโยชน์ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายที่ผ่านมา มาปรับใช้ในการทำงาน เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนและช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น นายกรัฐมนตรียังกล่าวแสดงความพอใจหลังจากที่ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงพยาบาลสนามที่เป็นความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน และสถานประกอบการในโครงการ Factory Sandbox ซึ่งขอให้เป็นต้นแบบในพื้นที่อื่นๆ ด้วย เพราะไม่อาจคาดคะเนได้ว่าไวรัสโควิด-19 จะอยู่นานแค่ไหน รัฐบาลยังเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน และขอให้ประชาชนปฏิบัติตาม Universal Prevention และทุกองค์กรเน้น COVID-19 FREE Setting (สถานประกอบการ ลูกค้า/ประชาชน) ให้ครอบคลุมทั้งในพื้นที่ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคด้วย

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการดูแลเด็กนักเรียน โดย ศบค. และ สธ. จะเร่งปูพรมฉีดวัคซีนเด็กนักเรียนอายุ 12-18 ปื ภายในเดือนตุลาคม โดยจะต้องได้รับการยินยอมผู้ปกครอง ยึดหลัก และคำแนะนำทางการแพทย์ ครอบคลุมทั้ง นักเรียน ครูและเจ้าหน้าที่ เพี่อสร้าง “โรงเรียนปลอดภัย” รวมทั้งสร้างความเข้าใจกับกลุ่มคนที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีน ว่าการฉีดวัคซีนสามารถลดอาการเจ็บป่วย ลดการเสียชีวิต

ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบเป้าหมายให้บริการวัคซีนโควิด-19 ในเดือนตุลาคม 2564 ให้ครอบคลุมประชากรทั้งหมด อย่างน้อยร้อยละ 50 ทุกจังหวัด ขยายกลุ่มอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียน และวางแผนให้เข็มกระตุ้นในผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน Sinovac ที่ครบ 2 เข็มในช่วงมีนาคม-พฤษภาคม 2564 รวมทั้งเห็นชอบคงระดับของพื้นที่และมาตรการป้องกันควบคุมโรคตามระดับพื้นที่สถานการณ์ ถึง 30 กันยายน นี้ ประกอบด้วย พื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด 29 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุด 37 จังหวัด พื้นที่ควบคุม 11 จังหวัด คงมาตรการเคอร์ฟิว WFH เพิ่มความเข้มข้นตามมาตรการ COVID Free Setting

นายกรัฐมนตรียังมีความเป็นห่วงสถานประกอบการ/ธุรกิจขนาดเล็ก หรือ Micro SMEs ซึ่งจะได้หาแนวทางแบ่งเบาภาระที่เกิดขึ้น จากการเตรียมรองรับมาตรการของรัฐทั้งมาตรการ Bubble and Seal และ Factory Sandbox อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกคนปฏิบัตตามมาตรการเพื่อประโยชน์ของตนเอง ภายใต้ความร่วมมือ 3 ฝ่าย ประกอบด้วยรัฐบาล เอกชนและประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สามารถเดินหน้าตามเป้าหมายในการเปิดประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งหลายประเทศได้จับตามองไทย เพื่อใช้เป็นตัวอย่างในการดำเนินงานเช่นกัน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า ในที่ประชุม ศบค. นอกเหนือจากการเร่งแก้ปัญหาไวรัสโควิด-19 แล้ว นายกรัฐมนตรียังห่วงใยสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ โดยกำชับทุกส่วนราชการเตรียมแผนเผชิญเหตุในทุกพื้นที่ทั้งส่วนภูมิภาครวมทั้งกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งสัตว์เลี้ยงในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที เพราะในขณะนี้ รัฐบาลกำลังเดินหน้าแก้ปัญหาทุกมิติ ทั้งโควิด-19 เศรษฐกิจและภัยธรรมชาติไปพร้อมๆ กัน

ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค.ชุดใหญ่ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุม แถลงผลการประชุมฯ ว่า ศบค.เห็นชอบคงพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 29 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯกาญจนบุรี ชลบุรีฉะเชิงเทรา ตาก นครปฐม นครนายก นครราชสีมา นราธิวาส นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ปราจีนบุรี ปัตตานีพระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ยะลา ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สงขลา สิงห์บุรี สมุทรปราการสมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี สุพรรณบุรี และอ่างทอง ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) 37 จังหวัด ประกอบด้วย กาพสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ บุรีรัมย์ พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก มหาสารคาม ยโสธร ระนอง ร้อยเอ็ด ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สตูล สระแก้ว สุโขทัย สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุดรธานี อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ และพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) 11 จังหวัด ประกอบด้วย กระบี่ นครพนม น่าน บึงกาฬพะเยา พังงา แพร่ ภูเก็ตมุกดาหาร แม่ฮ่องสอน และ สุราษฎร์ธานี

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ทั้งนี้ ที่ประชุม ศบค.ยังเห็นชอบคงเดิมมาตรการป้องกันการควบคุมโรคโควิด-19 ตามระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรนั้น พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ทั้งการห้ามออกนอกเคหสถานในเวลา 21.00-04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น และคงการทำงานที่บ้าน (เวิร์ก ฟอร์มโฮม) ถึงวันที่ 30 ก.ย.นี้ รวมถึงห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 5 คน ร้านสะดวกซื้อ ตลาดโต้รุ่ง ปิด 20.00-04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น ร้านอาหารในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ร้านอาหารที่อยู่นอกอาคารที่มีอากาศไหลเวียนได้หรือในอาคาร แต่ไม่มีเครื่องปรับอากาศอนุญาตให้ลูกค้านั่งรับประทานในร้านได้ 75%ของพื้นที่รวมถึงร้านอาหารขนาดเล็กหาบเร่แผงลอยรถเข็นให้ผู้บริการและผู้รับบริการปฏิบัติตามเกณฑ์ (ไม่เกิน 25 คน) ในกรณีที่นั่งบริโภคอาหารในร้าน (ส่วนกรณีพื้นที่ควบคุมสูงสุดนั่งบริโภคได้ตามปกติแต่ไม่เกิน 50 คนและพื้นที่ควบคุมนั่งได้ปกติแต่ไม่เกิน 100คน)ร้านอาหารที่เป็นห้องที่มีเครื่องปรับอากาศรวมทั้งร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าให้นั่งรับประทานได้ 50%ของพื้นที่เปิดให้บริการได้ไม่เกิน 20.00 น.งดการจำหน่ายและงดดื่มสุราในร้าน ส่วนศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า เปิดบริการได้เฉพาะซูเปอร์มาเก็ต และในส่วนร้านยาเวชภัณฑ์ ซึ่งร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มในห้าง เปิดขายได้ และเปิดได้ไม่เกินเวลา 20.00 น. ส่วนร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม สถานที่เล่นกีฬา หรือแข่งขันกีฬายังปิดให้บริการทั้งหมด ขณะที่สถานศึกษาทุกระดับ และสถาบันกวดวิชา ห้ามใช้อาหารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอน กิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมาก เช่นเดียวกับพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) และพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) ยังคงมาตรการเดิม แต่เพิ่มความเข้มข้นในการควบคุมกำกับ ตามมาตรการ COVID Free Setting มาตรการควบคุมแบบบูรณาการในการปิดสถานที่เสยี่งต่างๆ สื่อสารให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการ UniversalPrevention

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า ในที่ประชุม ศบค.มีการนำเสนอว่าถ้าถึงเดือน ต.ค.แล้วเราผ่อนคลายมาตรการทั้งหมด จะทำให้การติดเชื้อพุ่งขึ้นวันละ 3 หมื่น จึงเสนอว่าในเดือน ต.ค.ยังคงมาตรการตามเดิมการทางสังคม แต่เพิ่มมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล Universal Prevention และมาตรการทางสังคม การควบคุมการเดินทาง มาตรการองค์กร Covid-free และตรวจคัดกรอง ATK


กำลังโหลดความคิดเห็น