ข่าวปนคน คนปนข่าว
** นานาจิตตัง ดรามา 2 พส.สายฮา “พระมหาสมปอง-พระมหาไพรวัลย์” สภาพพพพ..ประโยชน์มากกว่าโทษ=จึ้งมาก !
เป็นประเด็นดรามาร้อนแรงต่อเนื่องสำหรับไลฟ์สดของ “พระมหาสมปอง” และ “พระมหาไพรวัลย์” สองพระมหาชื่อดังของวัดสร้อยทอง ที่มีผู้สนใจบนโลกโซเชียลฯล้นหลาม จากลีลาการนำเสนอเฉพาะตัวที่ตลก “ขายขำ” ถูกอกถูกใจคนรุ่นใหม่ ขณะที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า “ไม่สำรวม” ล้ำเส้น หรือ เกินเลย “พระธรรมวินัย” หรือไม่ ?
ก่อนอื่น ควรทราบว่าทั้งพระมหาสมปอง และพระมหาไพรวัลย์ นั้นไม่ใช่ “พส.” ธรรมดา
“พระมหาสมปอง” ฉายา ตาลปุตฺโต แปลว่า บุตรของนางตาล เป็นชาวชัยภูมิ ปีนี้อายุ 43 ปี สอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยค ปริญญาตรี พุทธศาสตร์บัณฑิต (พธ.บ.) เอกปรัชญา เกียรตินิยม อันดับ 1 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จบปริญญาโท สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต (สส.ม.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโท พุทธศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (พธ.ม.) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
“พระมหาสมปอง” มีชื่อเสียงมานาน ในฐานะพระนักบรรยายธรรม มีผลงานเขียนหนังสือ และออกสื่อเป็นพระวิทยากรประจำในรายการ “ธรรมะเดลิเวอรี่” มีรางวัลเป็นผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาการันตี หลายรางวัล อาทิ รับพระราชทานรางวัล “เสาเสมาธรรมจักร” นิตยสาร Positioning เคยยกย่องให้เป็น “50 ผู้ทรงอิทธิพลแห่งปี” พ.ศ. 2550
เรียกได้ว่า “พระมหาสมปอง” เป็น นักเทศน์มืออาชีพ เดินสายเผยแผ่ธรรมะในแบบฉบับเอนเตอร์เทนเนอร์ “สายฮา” หยิบเอาธรรมะ มาสอดแทรกมุกตลกที่เข้าถึงเหล่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือ แม้แต่บุคคลทั่วไปที่ชื่นชอบธรรมะบันเทิง แม้บางครั้งจะมีเสียงติฉินว่า เอาเนื้อหาทางโลกมาไม่เหมาะบ้าง หรือ ทอดแทรกการเมืองเข้ามาบ้าง
ส่วน “พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ” เป็นคนจังหวัดจันทบุรี ปัจจุบันอายุย่าง 30 ปี เมื่อเรียนจบชั้น ป.6 จึงไปบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่ จังหวัดสุโขทัย สอบเปรียญธรรมได้ 9 ประโยค ซึ่งถือว่าหาผู้ใดเปรียบได้ยาก จากนั้นได้อุปสมบทเป็นพระอยู่วัดสร้อยทอง จนถึงปัจจุบัน
“พระมหาไพรวัลย์” นับเป็นผู้ใฝ่การศึกษา จบปริญญาโทคณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และกำลังศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิชาสันติศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พระมหาไพรวัลย์ มีชื่อเสียงจากการเป็นพระนักเทศน์ นักคิด นักเขียน นักอ่าน นักวิจารณ์ ออกสื่อโซเชียลฯ ช่องทางของตัวเอง ต่อประเด็นในเรื่องความเชื่อ ความลี้ลับ หรือแม้แต่ปมดรามา ทางสังคม หรือ การเมือง กระแสสังคมทุกแง่ มีสื่อนำออกไปเผยแผ่จนมีคนรู้จักมากขึ้น
ด้วยสไตล์ที่กล้าพูด กล้าวิจารณ์ กล้าตลก กล้าขำ ของ “พระมหาไพรวัลย์” และ เมื่อมาจับคู่กับ พระรุ่นพี่อย่าง “พระมหาสมปอง” สำนักเดียวกัน จึงกลายเป็นความพีก ที่ “จึ้งมาก” ที่มาของประเด็นดรามา นานาทัศนะกันในวันนี้
สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ หรือ “ท่านจันทร์” สำนักสันติอโศก ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึง “2พส.” ดังเอาไว้น่าสนใจว่า “พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ และ พระมหาสมปอง ทั้งสองท่านนี้ เป็นที่รู้จักของข้าพเจ้า เคยร่วมงานกัน เคยบิณฑบาตด้วยกัน เคยพำนักห้องเดียวกัน เคยซ้อน จยย.คันเดียวกัน และมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน
แม้เราจะอยู่ตรงข้ามทางความคิดกันในบางเรื่องก็ตาม ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับคำตอบแก้ปัญหาทุกข์ของคนที่ส่งถามท่าน เห็นด้วยกับการไม่ให้งมงาย โง่งม
ส่วนท่าทีการแสดงออกแบบเล่นๆ นั้น แม้จะเกินเลยไปบ้าง ก็เป็นจริตนิสัย ท่านก็ถูกตำหนิติเตียนตามธรรมดา”
ขณะที่ “พระมหาไพรวัลย์” ได้ตอบกระแสดรามา ที่ถูกวิจารณ์ว่า รับทราบทุกคำติเตียน และรับฟังเสมอ โดยเฉพาะกรณี “ไม่สำรวม” จะนำไปสู่การไร้อนาคตในวงการสงฆ์นั้น เอาอะไรมาเสื่อม ขำก็คือขำ จะมาบอกว่าให้อาตมาขำน้อยลงหน่อยไม่ได้ “มันปลอม” พร้อมๆ กับจะยึดแนวทางการพูดธรรมะในแบบเป็น “ตัวเอง” โดยขอยึดเอาคติคำสอนของ “ท่านพุทธทาสภิกขุ” ที่ว่า การจะทำอะไรถ้าเห็นประโยชน์ของคุณมากกว่าโทษก็ให้ทำ และจะทำต่อไป
ส่วนสาธุชนได้ยินได้ฟังดรามานี้แล้ว จะคิดเห็นกันอย่างไรก็คงสุดแล้วแต่ใจ...นานาจิตตัง
** ถอดรหัส “สันติ” ชิ่ง “4ช.” ดอดเจอลุง มุ่งหวังอะไร !!
ต้องบอกว่า นักการเมืองเก๋าเกม ประเภท “นกรู้” ยอมรู้จักใช้จังหวะเวลา และโอกาส เหมือนอย่างเช่น “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง และผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ เข้าพบ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเช้าวานนี้ ปิดห้องหารือกันกว่า 1 ชม.
แน่นอนว่า ทั้งสื่อและผู้สังเกตการณ์ ยอมมองว่าเป็นการมาหารือทางการเมือง หลังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านไป โดย “บิ๊กตู่” ยังได้รับความไว้วางใจจากสภา “ดุลอำนาจ” กลับมาอยู่ในมืออย่างมั่นคงอีกครั้ง หลังจากง่อนแง่น โอนเอน ในระหว่างการอภิปราย
ภาพของ “สันติ” จึงไม่ต่างจากขุนพลคนใหม่ของ “บิ๊กตู่”!!
เพราะก่อนหน้านี้ ที่มีกระแสข่าวว่า “กลุ่ม 4ช.” ซึ่งประกอบด้วย 4 รัฐมนตรีช่วยว่าการ คือ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรและสหกรณ์ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” รมช.แรงงาน “อธิรัฐ รัตนเศรษฐ” รมช.คมนาคม และ “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง นั้น มี “3ช.” ที่เคลื่อนไหวเพื่อคว่ำ “บิ๊กตู่”
ส่วน “สันติ” ชิ่งออกมายืนข้าง “บิ๊กตู่” และยังพา ส.ส.เข้าไปให้กำลังใจ “บิ๊กตู่” ที่กำลังอกสั่นขวัญแขวน จนฝ่ายค้านเอาไปโพนทะนา ว่า “บิ๊กตู่” จ่ายเงิน ส.ส.คนละ 5 ล้าน แลกเสียงโหวต
หากถามว่า ทำไม “สันติ” จึงต้องหักกับ “ผู้กอง” แล้วโดดออกมาป้อง “บิ๊กตู่”...คำตอบก็น่าจะอยู่ที่ว่า... เพราะ “สันติ” คร่ำหวอดในเกมการเมือง รู้ว่าหากยังเกาะกลุ่ม “4ช.” อยู่อย่างนี้ ความสำคัญของตัวเขาในพรรค หรือในสายตาผู้หลักผู้ใหญ่ ก็จะอยู่เป็นลำดับสุดท้าย … เพราะเขาเป็นแค่ “มุ้งหนึ่ง” จากเพชรบูรณ์ มี ส.ส.อยู่ในมุ้งไม่ถึง10 ต่างจาก “ผู้กอง” ที่เป็นเลขาฯ พรรค ...“อาจารย์น้อง” นฤมล เหรัญญิกพรรค ลูกรัก “บิ๊กป้อม” ...หรือ “อธิรัฐ” ลูกชาย “วิรัช รัตนเศรษฐ” ประธานวิปรัฐบาล
เรื่องนี้ “สันติ” ได้รับบทเรียนมาแล้ว จากเมื่อครั้งที่มีการเลือกกรรมการบริหารพรรค...ว่ากันว่า เวลาคุยกัน “หลังไมค์” ก็บอกว่าตำแหน่งเลขาฯ พรรค นั้น เป็นของพี่อยู่แล้ว... แต่สุดท้ายทำไมกลายเป็นของ “ผู้กอง” ไปได้ นี่เป็นความคับแค้นที่แน่นอยู่ในใจลึกๆ
ประกอบกับความมั่นใจว่า ตราบใดที่ “3ป.” ไม่ทิ้งกัน โอกาสคว่ำ “บิ๊กตู่” ก็เป็นไปได้ยาก เขาจึงไม่ลังเลที่จะชิ่งจาก “4ช.” ออกมาปกป้อง “บิ๊กตู่” และ “สันติ” ก็แทงม้าถูก ...แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขารีบมาแสดงตัว เป็น “ขุนพล” คนใกล้ชิด “บิ๊กตู่” ได้อย่างไร
ต้องไม่ลืมว่าการเมืองคือการ “สร้างภาพ” ให้ตัวเองดูดี มีความมั่นคง มีพลังอำนาจ คือพูดง่ายๆ ว่า “อยู่ข้างคนชนะ” อะไรๆ ก็ดูดีไปหมด ส่วนเรื่อง “บิ๊กตู่” จะปรับ ครม.หรือไม่ เมื่อไร ตัวเขาจะได้ขึ้นชั้นเป็น รมว.คลัง ตามที่ใฝ่ฝันหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคต... ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
ต่างจากภาพของฝ่าย “ผู้กอง” ที่ถูกมองว่าหลังจากนี้ จะถูก “บิ๊กตู่” เช็กบิลหรือไม่ เมื่อไรเท่านั้นเอง !!
แต่อย่างว่า การเมืองก็แล้วแต่มุมมอง แล้วแต่กาละ เทศะ ว่าจังหวะที่ว่า ถูกที่ ถูกเวลาหรือไม่ ...หาก “บิ๊กบราเธอร์” ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยังไว้วางใจ ยังต้องพึ่งมือไม้ ของ “ผู้กอง” ในการเลือกตั้งที่จะมาถึง เรื่องที่ “บิ๊กตู่” จะไล่เช็กบิล ก็คงไม่เกิดขึ้น
ก็คงต้องจับตาว่าในอนาคต ขุนพลของบิ๊กตู่ กับขุนศึกของบิ๊กป้อม ใครจะรุ่ง ใครจะร่วง !!