นายกฯ แจงซักฟอกยันไม่ได้แก้ตัวสถานการณ์โควิด-19 เตือนฝ่ายค้านระวังใช้เอกสารเท็จ อัดพูดชมต่างประเทศดิสเครดิตประเทศตัวเอง ด้าน “ฝ่ายค้าน” ประท้วงบอก “นายกฯ” ยืนอ่านเอกสาร แจงไม่ตรงประเด็น ขณะที่ “ก้าวไกล” เบรกบอกสูดน้ำมูกนับ 98 ครั้ง หวั่นทำแพร่เชื้อในห้องประชุม
วันนี้ (2 ก.ย.) เมื่อเวลา 10.50 น. ที่รัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงฝ่ายค้าน ว่า ที่กล่าวหาว่าการล็อกดาวน์ไม่ได้ผล มีการแพร่ระบาด เพราะอาจจะไม่เข้าใจ และที่บอกว่า รัฐบาลปล่อยให้คนกลับภูมิลำเนาที่จังหวัด ซึ่งจังหวัดต้นทางมีการคัดกรองตรวจตามมาตรการเคร่งครัด นอกจากนี้ ขอเตือนว่า เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา มีการนำเอกสารของกระทรวงกลาโหม ที่เป็นเท็จออกมาเปิดเผยในที่ประชุมสภาฯก็ขอให้ระวังด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้ำว่า ตลาดวัคซีนขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิต ฉะนั้น จะต้องระวังในการพูดเรื่องด้อยค่าวัคซีน ท้ายที่สุดหากประเทศของบริษัทผู้ผลิตไม่ส่งวัคซีนมาจะทำอย่างไร ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย ที่พวกท่านพูดด้อยค่าวัคซีนก็ขอให้ระวังด้วย และทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมก็ฉีดวัคซีนเหมือนกัน นอกจากนี้ แต่ละประเทศที่มอบวัคซีนให้กับไทย ตนไม่เคยไปขอร้องหรืออ้อนวอนเขา เขาให้เราเอง ยืนยันว่า การจัดซื้อวัคซีนที่ราคาเท่าใดก็เบิกจ่ายเท่านั้น อย่านำหลายเรื่องมารวมกันจะทำให้คนสับสน ซึ่งรัฐบาลมีการทำงานเป็นขั้นเป็นตอน แต่ง่ายแค่คิดแล้วก็พูดไม่ต้องทำอะไรเลย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อถึงเรื่องที่ประเทศไทยไม่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ตั้งแต่แรก ถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดนั้น เรื่องนี้จะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งผลได้และผลเสียในการเข้าร่วม หากเข้าร่วมจะต้องวางเงินมัดจำในวงเงินที่สูง และมีเงื่อนไขจำกัดหลายประการ ซึ่งก็ได้เห็นแล้วว่าประเทศที่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ไม่สามารถส่งวัคซีนให้ประเทศที่เข้าร่วมได้ตรงตามที่กำหนด และไม่สามารถเลือกวัคซีนเองได้ แม้ว่าปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนแปลงกติกาหลายอย่างแล้วก็ตาม แต่หลายประเทศได้วัคซีนในสัดส่วนที่น้อยมากกับแค่หลักแสนโดสแต่สำหรับประเทศไทยได้จองวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 38 ล้านโดส ถือว่าสูงกว่าหลายประเทศ ยืนยันว่า จะได้ครบ 61 ล้านโดส ภายในเดือน ธ.ค.นี้
แต่ไทยมีวัคซีนในจำนวนที่มากกว่าหลายประเทศที่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ ส่วนเรื่องการฉีดวัคซีนไขว์ ทีมแพทย์มีการศึกษาเพื่อให้สามารถรับมือกับสายพันธุ์เดลตา และสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพทันต่อการระบาด แต่ฝ่ายค้านพยายามพูดหักล้าง ไม่เชื่อมั่นในข้อมูลของหมอ นักวิชาการของไทยหรืออย่างไร ขณะเดียวกัน มาตรการล็อกดาวน์ถือว่ามีประสิทธิภาพทำให้ตัวเลขผู้หายป่วยได้มากขึ้น กว่าผู้ติดเชื้อแม้จะไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่จากการประเมินของคณะแพทย์คาดว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ
“และตั้งแต่เริ่มเปิดมาตรการ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา อย่าประมาทก็แล้วกัน ผมไม่ได้โทษประชาชน แต่ขอให้ระมัดระวัง อย่าหาว่าผมโทษประชาชน เห็นหลายคนในที่ประชุมพูดให้ผมขัดแย้งกับประชาชน ผมไม่ทราบว่าต้องการอะไร พูดชื่นชมต่างประเทศทุกอย่าง แต่กลับดิสเครดิตประเทศตัวเอง ไม่ดูข้อเท็จจริงประเทศเขาเกิดอะไรขึ้นบ้าง ยอมรับว่าการบริหารเตียง ในช่วงแรกมีปัญหาอยู่บ้าง เพราะต้องบริหารคนจำนวนมาก ซึ่งตนก็ไม่ได้พอใจที่เห็นคนติดเชื้อจำนวนมากและจะต้องลดจำนวนให้เร็วที่สุดผมชี้แจงให้ทราบไม่ได้แก้ตัว” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่นายกรัฐมนตรีกำลัง ชี้แจงปรากฏว่า นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่า นายกรัฐมนตรี ผิดข้อบังคับ ลุกขึ้นมาอ่านอะไรก็ไม่ทราบไม่ตรงกับประเด็นที่พวกตนอภิปราย มาพูดอะไร 10-20 นาที พยายามจับใจความ แต่ก็จับใจความไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ติดใจ เพราะนายกฯบอกว่าพูดจบแล้ว
ด้าน นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ในฐานะประธานในการประชุม ยืนยันว่า นายกฯไม่ได้ผิดข้อบังคับ เพราะหลายคนก็ถือเอกสารขึ้นมาอ่านเหมือนกัน ซึ่งข้อบังคับการประชุมสภาอนุญาตให้นำเอกสารขึ้นมาอ่าน ได้โดยไม่ต้องผ่านการวินิจฉัยของประธาน และอาจจะไม่ตรงกับที่ผู้ถูกอภิปรายพูดก็ได้ ฉะนั้นที่ประชุมก็ต้องทนฟังกันหน่อยซึ่งเวลาสมาชิกอภิปรายนายกฯก็ต้องฟังด้วยเหมือนกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ระหว่างการชี้แจง พล.อ.ประยุทธ์ มีสภาพอิดโรย มีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล ทำให้ นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วงว่า นายกฯ คอยสูดน้ำมูกตลอดเวลานับได้ 98 ครั้ง จึงขอประท้วงประธานในที่ประชุม ว่า เหตุใดปล่อยให้คนเป็นหวัดเข้ามาในห้องประชุม อาจมีการแพร่เชื้อได้
จากนั้น นายศุภชัย กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับผู้ประท้วง ถ้าเป็นไปได้อยากให้นายกฯ ถอดหน้ากากอนามัยแล้วเข้าไปชี้แจงยังโพเดียมที่เตรียมไว้ให้ สุดท้ายนายกฯ จึงไม่ชี้แจงต่อ