ศบค.เร่งจัดหาวัคซีนอย่างน้อย 10 ล้านโดส ในเดือน ก.ย. ปูพรมฉีดทั่วประเทศ เน้นผู้สูงอายุ ผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ สั่งไฟเซอร์เพิ่ม 10 ล้านโดส ซิโนแวค อีก 12 ล้านโดส และวัคซีนอื่นอีก 10 ล้านโดส เพื่อให้ถึงเป้าหมายฉีดครบ 100 ล้านโดส ในปี 64
วันนี้ (16 ส.ค.) เวลา 16.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.แถลงภายหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ว่า สำหรับแผนการให้บริการวัคซีน โควิด-19 โดยสรุปผลการฉีดวัคซีนข้อมูล ณ วันที่ 15 ส.ค. 64 จำนวนวัคซีนที่ให้บริการทั้งสิ้น 23,592,227 โดส ผู้ได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็มจำนวน 17,996,826 คน ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม จำนวน 5,109,476 คน และผู้ได้รับวัคซีนไขว้เข็มหนึ่งและเข็มสอง แอสตร้าเซนเนก้า และ ซิโนแวค จำนวน 974,563 คน โดยยังไม่พบอาการที่ไม่พึงประสงค์และอาการที่รุนแรง ส่วนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นด้วยแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 195,520 คน
ที่ประชุม ศบค.ยังเห็นชอบตามที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เสนอในที่ประชุม ศบค. ว่า เป้าหมายจะต้องหาวัคซีนบริการในเดือน ก.ย.อย่างน้อย 10 ล้านโดส และเร่งฉีดในกลุ่มอายผู้สูงอายุ 60 ปี กลุ่มโรคเรื้อรัง 7 โรค และหญิงตั้งครรภ์ โดยการฉีดวัคซีนในเดือน ก.ย.จะปูพรมทุกจังหวัด โดยผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรก จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่สอง เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและรองรับแผนเปิดการท่องเที่ยว โดยในกรุงเทพฯ จะแบ่งวัคซีนไป 15 เปอร์เซ็นต์ และในอีก 76 จังหวัด อีก 75 เปอร์เซ็นต์ และจังหวัดที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 10 จังหวัดอีก 8 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มอื่นๆ ได้แก่องค์กรภาครัฐ ราชทัณฑ์อีก 2 เปอร์เซ็นต์
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการจัดหาวัคซีนในช่วงเดือน ส.ค.- ก.ย.เพื่อนำมาใช้ในช่วงที่ระยะเวลาที่วัคซีนมีจำกัดเพิ่มเติม เนื่องจากปัญหาสายพันธุ์เดลตา ที่วัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้น้อย จึงควรเร่งการฉีดวัคซีนเพื่อเพิ่มความครอบคลุมในทุกกลุ่มเป้าหมายซึ่งต้องได้วัคซีน 100 ล้านโดส ภายในปี 2564 โดยการเจรจาจัดหาวัคซีนเพิ่มจากบริษัทผู้ผลิตที่สามารถส่งมอบวัคซีนได้โดยเร็วที่สุด ได้แก่ จองซื้อวัคซีนจากบริษัท ไฟเซอร์ เพิ่มเติมอีกจำนวน 10 ล้านโดส (ผ่าน ศบค.เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา) ให้องค์การเภสัชกรรมจัดหาวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติมอีกจำนวน 12 ล้านโดส และให้เจรจาจัดหาวัคซีนอื่นๆ เพิ่มเติมอีกจำนวน 10 ล้านโดส ภายในปี 2564