วันนี้ (11 ส.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงร่าง พ.ร.ก.จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ว่า
เมื่อพิจารณาเนื้อหาสาระของ ร่าง พ.ร.ก.นี้ พอเข้าใจได้ถึงหลักการในการออก พ.ร.ก. เพื่อให้บุคลากรสาธารณสุข อันประกอบด้วย
1. ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์และสาธารณสุข
2. ผู้ประกอบโรคศิลปะแขนงต่างๆ
3. ผู้ปฏิบัติการตามกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน
4. อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
5. อาสาสมัครต่างๆ ที่มาช่วยทำงาน
6. บุคคลที่ได้รับการร้องขอจากผู้ประอบวิชาชีพเพื่อให้ปฏิบัติงาน
7. บุคคล คณะบุคคล ที่ได้รับการแต่งตั้ง หรือมอบหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหา หรือบริหารวัคซีน ได้รับการคุ้มครอง มีภูมิคุ้มกันในการป้องกันการถูกฟ้องร้อง ทำให้มีขวัญกำลังใจในการทำงาน
บุคลากรทางสาธารณสุข และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ 6 กลุ่มแรกไม่มีเสียงท้วงติงว่าไม่ควรได้รับการคุ้มครอง ตาม พ.ร.ก. สังคมมีความเห็นใจ และเข้าใจการทำงานของบุคลากรด่านหน้าเป็นอย่างดีว่า มีความเสี่ยงอย่างมากในการทำงานจนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด จนนำไปสู่การเอาผิดตามกฎหมายได้
แต่ที่มีเสียงท้วงติง คลางแคลงใจ คือกลุ่มบุคคลในข้อ 7 ที่เกี่ยวข้องกับการจัดหา หรือบริหารวัคซีน ที่ถูกมองว่าเป็นการออก พ.ร.ก. เพื่อนิรโทษกรรมให้ฝ่ายนโยบายพ่วงเข้ามากับการคุ้มครองบุคลากรสาธารณสุขด่านหน้า ที่ทำงานในพื้นที่ ซึ่งในความเป็นจริง ถ้าไม่มีการคุ้มครองบุคคล และคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดหา หรือบริหารวัคซีนก็ไม่น่ามีผลที่ทำให้ขาดขวัญกำลังใจในการทำงานแต่อย่างใด
เพราะเท่าที่ผ่านมา คนกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนก็ยืนยันมาโดยตลอดว่า ทำงานโดยสุจริต ไม่ได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง และไม่ได้เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.ก.นี้ ก็ไม่น่ามีผลกระทบอะไร
อย่างไรก็ดี พ.ร.ก.นี้ ยังต้องผ่านการรับฟังความเห็นอย่างกว้างขวาง เพื่อปรับปรุงให้เหมาะสมก่อนเสนอ ครม. จึงควรดำเนินการรับฟังความเห็นประเด็นต่างๆ ดังนี้
1. ใครควรได้รับการคุ้มครองจาก พ.ร.ก. จำกัดความรับผิดฯ
2. ควรให้บุคลากรสาธารณสุข มีมติว่า ควรให้บุคคล คณะบุคคลตามข้อ 7 ได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.ก.นี้หรือไม่
3. พ.ร.ก.นี้ควรได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายในการใช้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างขวัญกำลังใจของแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุขด่านหน้าอย่างแท้จริง
ขอฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย พิจารณาเรื่องนี้ด้วยความเป็นธรรม คำนึงถึงหลักนิติรัฐ นิติธรรม เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมมากกว่าเพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อันจะช่วยทำให้การทำงานแก้ไขปัญหาวิกฤติโควิดสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น