ยุ่งล่ะสิ! “ไบร์ท ชินวัตร” แกนนำม็อบหน้า สธ.-18 กรกฎา ไม่สวมมาสก์ ติดโควิด ขอโทษครอบครัวที่ติดเชื้อด้วย “มดดำ” ตกใจเห็นไลฟ์สด ไม่ใช่ “ณวัฒน์” ที่รู้จัก 20 ปี สุดอาลัย “แพรพัชร์” นางฟ้าด่านหน้า ติดโควิดเสียชีวิต
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (24 ก.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “ด่วน!! “ไบร์ท ชินวัตร” ติดโควิด ขอโทษครอบครัวที่ต้องติดเชื้อด้วย พบเป็นแกนนำม็อบ สธ. ร่วมม็อบ 18 กรกฎา ไม่สวมมาสก์!?”
เนื้อหาระบุว่า จากกรณีที่ นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือ “ไบรท์” แกนนำกลุ่มราษฎร นนทบุรี ได้ออกมาบอกว่า ติดเชื้อโควิด โดยระบุข้อความว่า
“ผมทำดีที่สุดแล้วที่จะช่วยเหลือทุกคน ผมขอโทษครอบครัวผมด้วยที่ต้องติดเชื้อ ทั้งที่เจตนาของเราช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์”
และต่อมา ได้โพสต์ข้อความต่ออีกว่า พี่สาธารณสุขจังหวัดได้แจ้งมาที่ผมว่า คนที่ไปตรวจที่คลีนิกวันนี้ ยังไม่ชัวร์นะครับ ต้องลุ้นรอที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า คืนนี้ครับ
และได้มีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ดังกล่าวว่า “คุณก็รู้ว่า ช่วงนี้มันติดต่อกันง่าย ไม่เป็นห่วงตัวเองก็เป็นห่วงพ่อแม่คนในครอบครัวบ้าง การเมืองแตกต่างไม่ว่ากันแต่ให้มันผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปก่อนไม่ได้หรือ เป็นไงละสุดท้ายก็เอามาติดครอบครัว ไม่ได้ช้ำเติมนะ”
ไบร์ท ชินวัตร ก็ได้ตอบกลับว่า “ผมไม่ได้จากที่ชุมนุม ผมติดเพราะที่ผมช่วยเหลือคน” และได้ออกมาไลฟ์สด ขอโทษครอบครัวและญาติพี่น้องที่ทำให้ทุกคนติดเชื้อโควิดทั้งครอบครัว
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ไบร์ท ชินวัตร ได้นัดมวลชนรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องความชัดเจนเรื่องการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยขอให้อนุทินชี้แจงผ่านช่องทางใดก็ได้ภายในเวลา 17.00 น. แต่เมื่อครบกำหนดเวลา ยังไม่มีความชัดเจน ทำให้กลุ่มมวลชน ตั้งแนวเข้าไปที่หน้าประตูกระทรวงสาธารณสุข และได้เกิดเหตุชุลมุน โดยมีการผลักดันแนวตำรวจ ใช้เท้าถีบและเตะไปที่โล่ของตำรวจ ซึ่งต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม ไบร์ท ชินวัตร ที่เข้าไปภายในกระทรวงสาธารณสุขพร้อมผู้ชุมนุมอีกคน ถูกเจ้าหน้าที่คุมตัวไว้ได้ และนำตัวไปสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธร (สภ.) เมืองนนทบุรี ทันที
และในวันที่ 18 กรกฎาคม ไบร์ท ชินวัตร ได้เข้าร่วมม็อบของเยาวชนปลดแอก โดยได้โพสต์ภาพและข้อความว่า
“อยู่นี่นะ อย่าลืมอุดหนุนน้ำพริกผมล่ะ 555” ซึ่งในภาพ ไบร์ท ก็ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็นเกี่ยวกับ “ณวัฒน์” และกรณีมดดำตกใจเห็นไลฟ์สด ปกติสติสัมปชัญญะจะครบ”
โดยระบุว่า จากกรณีที่ ณวัฒน์ อิสรไกรศีล ไลฟ์สดผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก อ้างว่า ถูกไล่ให้ออกจากโรงพยาบาล จนกลายเป็นประเด็นสุดร้อนแรง ทำให้โรงพยาบาล ถูกโจมตีอย่างรุนแรง จนกระทั่งได้หนีออกจากโรงพยาบาลนั้น
ทั้งนี้ ช่วงค่ำของวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล พิธีกรชื่อดัง ได้ออกมาไลฟ์สด ผ่านเฟซบุ๊ก “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล - Mr.Nawat Itsaragrisil” โดยระบุอาการปัจจุบันว่า ตอนนี้อยู่ที่ที่ปลอดภัย ยังค้างอยู่แบบนี้ประมาณ 25% สามารถพึ่งตนเองได้ ไม่ต้องเป็นห่วง ในช่วงที่รักษาที่โรงพยาบาล พยายามขอเอกสาร แต่ไม่ได้ ได้เพียงแค่ช่วงแรก
โดย นายณวัฒน์ ได้นำเอกสารทางการแพทย์ต่างๆ ออกมาแสดงด้วย ซึ่งระบุว่า ค่าเม็ดเลือดขาว ถือว่าติดเชื้อแบบรุนแรง เอกสารเอกซเรย์ ต้องเอกซเรย์ทุกวัน สุดท้ายต้องซีทีสแกน และเอกสารซีทีสแกน ยังระบุด้วยว่า ฝ้าลงปอดทั้งปอด ต้องรักษาด้วยยาเร็มดิซีเวียร์ เข้าทางเส้นเลือดต่อเนื่อง ประมาณ 3 ชั่วโมง และรักษาโดยใช้พลาสมา
นอกจากนี้ นายณวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า อาการที่ตนเป็น คือทำลายทั้งปอด ตามเอกสารที่นำมาแสดง ยืนยันสิทธิ์ที่จะรักษาต่อ ส่วนกรณีการออกจากโรงพยาบาล ตนไม่ได้ออกมาด้วยวิธีปกติ แต่หนีออกมาเองในเวลาประมาณ 4.47 น. ตนเองได้ถ่ายคลิปหนีออกมาด้วย และจะนำมาเผยแพร่ภายหลัง เนื่องจากตนรู้สึกผิดปกติในช่วงสองสามวัน
ล่าสุด มดดำ คชาภา ตันเจริญ พิธีกรชื่อดัง ได้เปิดเผยช่วงหนึ่งในรายการ ถึงกรณีนายณวัฒน์ว่า “คุณณวัฒน์ อิสรไกรศีล ถ้าในส่วนตัว มันไม่ใช่ณวัฒน์ ที่มดดำรู้จักอะ พี่ณวัฒน์จะเป็นคนที่สติสัมปชัญญะจะครบ แต่อันนี้ก็ไม่รู้ อันนี้ก็เป็นไปได้เอาตรงๆนะ หัวเค้ามีเเต่งาน คือคุณณวัฒน์ อิสรไกรศีล หัวจะคิดจะมีเเต่งาน อย่างฉันคิดพูดเรื่องผู้ชาย เเต่เค้าไม่เลย พี่ณวัฒน์หัวจะมีเเต่งาน เเล้วเป็นไปได้รึเปล่า ว่าเค้าไปอยู่ห้องแคบๆ เเล้วเกิดความเครียด หรือ ยารักษามันมีเอฟเฟกต์อะไรกับเค้าหรือเปล่า ปกติพี่ณวัฒน์ไม่ได้เป็นคนแบบนี้ เพราะฉันรู้จักเค้ามากกว่า 20 ปี
ส่วนค่ารักษาของ ณวัฒน์ อยู่ที่ 5,000,000 กว่าบาท เพราะต้อง Ct scan เกือบทุกวัน เเต่เเพทย์ก็ดูแลอย่างดีที่สุด เเต่รู้สึกว่ามีประกันสุขภาพ ประกันก็ออกหมดอยู่ดี ไม่ต้องให้ใครออก
ก่อนหน้านี้ ทีมข่าวเดอะทรูธ พบว่า เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 “น้ำ พัชรพร จันทรประดิษฐ์” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2020 ได้ออกมาไลฟ์สด ในเฟซบุ๊ก “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล” โดยระบุช่วงหนึ่งว่า ตอนนี้ณวัฒน์ ใช้ชีวิตบนเตียง ควบคุมไวรัสได้ เป็นสายพันธุ์อินเดีย แรงมาก อาการลงปอด แต่เชื้อหยุดแล้ว ฉีดยาลงหน้าท้อง ทำซีทีสแกนวันเว้นวัน เจาะเลือดทุกวัน ให้ออกซิเจนแรงดันสูง ค่าใช้จ่ายณวัฒน์ออกเอง ไม่ต้องไปทวงบุญคุณกับรัฐบาลนะ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็นสุดเศร้า “อาลัย “แพรพัชร์“ พยาบาลด่านหน้า ติดโควิดเสียชีวิต เผยอยู่แผนกผู้ป่วยนอก แต่ขออาสาประจำตู้ swab ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน!?”
โดยระบุว่า จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (23 กรกฎาคม 2564) โลกออนไลน์รวมถึงเพื่อนร่วมวิชาชีพ ต่างแสดงความอาลัยต่อการจากไปของเจ้าหน้าที่พยาบาล “แพรพัชร์ ธัญวัฒน์ทวีสุข” พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลย่านบางแค หลังติดเชื้อโควิด-19 จากการทำงาน โดยทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ด่านหน้าประจำจุดตรวจโควิด โดยเจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์ ร่วมกันยืนตั้งแถวรับศพออกจากห้องผู้ป่วย
โดยมีรายงานว่า ในวันนี้ (24 ก.ค.) ศพของ น.ส.แพรพัชร์ จะออกจากโรงพยาบาลเกษมราษฎร์บางแค ประมาณ 13.00 น. และฌาปนกิจที่วัดบางม่วง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี เวลา 14.00 น. โดยจะนำอัฐิไปบรรจุที่จังหวัดนครราชสีมา
ต่อมา ก็ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด พยาบาลคนดังกล่าวถึงติดเชื้อจนเสียชีวิต ทั้งๆที่ทาง โรงพยาบาลดังกล่าวได้ฉีดวัคซีน Sinovac ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564
ในขณะเดียวกัน ได้มีการเผยแพร่แชทบทสนทนา ที่ได้มีการพูดคุยว่า เหตุใดฉีดวัคซีนแล้ว ทำไมยังติดเชื้อและเสียชีวิตได้ และก็ได้มีบุคคลหนึ่งตอบว่า “น้องเขาไม่ฉีด ไม่ยอมฉีด sinovac” ทำให้หลายคนนำไปขยายผลต่อมากมายว่า ไม่ยอมฉีดวัคซีน
ล่าสุด ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ที่ใช้ชื่อว่า Pichai Aimon ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าวว่า เห็นมีหลายคนเอาไปแชร์ต่อว่า น้องติดโควิดทั้งที่ฉีด Sv 2 เข็ม นี่ข่าวไม่จริงนะครับ น้องไม่ได้ฉีดวัคซีนโดยให้เหตุผลว่า plan จะตั้งครรภ์ ปกติน้องทำงาน Opd ประกันสังคม clinic ARI ครับ ที่ไปตู้ swab เพราะอาสาไปช่วย ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ
อย่างไรก็ตาม นางสาวรินทร์รฐา และนายฐานุพงศ์ เพื่อนสนิทของแพรพัชร์ ได้เปิดเผยว่า แพรพัชร์ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 เนื่องจากอยู่ระหว่างรอวัคซีนทางเลือก และมีโรคประจำตัวเป็นไขมันในเลือดสูง จึงอยากวอนขอให้รัฐบาลเร่งนำเข้าวัคซีนที่มีคุณภาพ เพื่อลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น และอยากให้ประชาชนทุกคนดูแลตัวเองให้ดี เพื่อลดภาระงานของบุคลากรด่านหน้า
แน่นอน, ที่อยากชี้ให้เห็นก็คือ ปัญหาใหญ่ประการหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทย เจอกับวิกฤติรุนแรง ผู้ป่วยล้นเตียง และไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์เพียงพออยู่ในขณะนี้ จนล้มตายเป็นจำนวนมากทุกวัน เนื่องจาก 2 สาเหตุใหญ่ๆ
สาเหตุแรก การเข้าถึงวัคซีนของประชาชนล่าช้า และถูกปล่อยปละละเลยทั้งในส่วนของผู้มีอำนาจหน้าที่ และประชาชนทั่วไป เพราะกลัวว่า จะได้ฉีดวัคซีนคุณภาพต่ำ และรอวัคซีนคุณภาพสูง ที่มีข่าวลือว่า เอกชนจะนำเข้าบ้าง รัฐบาลมีแผนที่จะนำเข้าเช่นกัน แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจน
สาเหตุที่สอง ปัญหาปลุกระดมทางการเมือง และล้มรัฐบาลประยุทธ์ แทรกซ้อนปัญหาโรคระบาดโควิด-19 อย่างไม่รับผิดชอบต่อสังคม มีการด้อยค่าวัคซีนของรัฐบาลที่กำลังฉีดอยู่ จนเกิดกระแสไม่ยอมฉีด
เรื่องนี้ไม่แต่เฉพาะ กทม. ยังขยายผลไปยังพื้นที่ชนบททุกภูมิภาค โดยเฉพาะฐานเสียงคนเสื้อแดงและม็อบ 3 นิ้ว รวมทั้งลูกหลานใน กทม.ที่รับสื่อสังคมออนไลน์ ก็บอกพ่อแม่ญาติพี่น้องยังไม่ต้องฉีด อย่าฉีด พ่อแม่ญาติพี่น้องก็เชื่อ รวมถึงการปลุกปั่นกระแสผลข้างเคียง ฉีดแล้วอันตราย โดยขยายผลจากภาพข่าวตอกย้ำอยู่อย่างนั้น จนสิ่งเหล่านี้กลายเป็นกระแสความเชื่อ และเล่าลือปากต่อปาก ในระดับตำบลหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว สรุปว่า ทำให้คนฉีดวัคซีนน้อยมาก
กระทั่งเมื่อวัคซีนกลายพันธุ์ เป็น “เดลตา” ซึ่งติดง่ายและรุนแรง สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก็คือ มีการติดเชื้ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะเกิดกรณีเสียชีวิตมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที และไม่ได้ฉีดวัคซีน คนยากคนจน แรงงานในโรงงาน คนจรจัดข้างถนน ที่ด้อยโอกาสเข้าถึงการรักษา
นี่เอง ทำให้คนหลั่งไหลไปฉีดวัคซีนจนต้องต่อคิวยาวเหยียด และด้วยคนที่กลัววัคซีน ไม่ฉีดวัคซีนมีจำนวนมาก เมื่อติดเชื้อและอาการรุนแรงในเวลาอันรวดเร็ว เตียงที่รองรับจึงไม่เพียงพอ เครื่องมือการแพทย์เพื่อรักษาจึงไม่เพียงพอ ที่สำคัญในเวลานี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ไม่เพียงพอแล้ว จึงขยายการรักษาไม่ได้แล้ว ในขณะที่เชื้อโรคยังคงระบาดอย่างหนัก
ลองคิดดู ถ้าฉีดวัคซีนกันอย่างเต็มที่เท่าที่รัฐหามาให้ ไม่มีการปั่นกระแสด้อยค่า สร้างกระแสความกลัว ประชาชนทุกคนการ์ดไม่ตก ช่วยกันดูแลสังคมร่วมกัน ตั้งแต่โรคมันยังระบาดไม่หนัก ไม่สร้าง “คลัสเตอร์” ด้วยความประมาท ดูเบาปัญหา ท้าทายโควิด ที่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเตือนจนปากแทบฉีกทุกวัน เหตุการณ์อย่างทุกวันนี้คงไม่เกิดขึ้น
ถามว่า ปล่อยให้มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร คำถามแรกก็คือ ใคร มีส่วนให้มาถึงจุดนี้ สำนึกหรือยัง? ใครที่ไม่เคยช่วยแบ่งเบาภาระนักรบด่านหน้า อย่างแพทย์พยาบาลเลย เอาแต่สร้างปัญหา ผสมโรงด้วยความเกลียดชังทางการเมือง เพิ่มภาระให้แพทย์ พยาบาล ด้วยการก่อ “คลัสเตอร์” โดยไม่จำเป็น อย่าง การจัดม็อบ การมั่วสุมดื่มเหล้า ปาร์ตี้ยา สารพัดที่จับได้อยู่ทุกวัน เมื่อไหร่จะรู้สำนึก ไม่กลัวตาย ก็เห็นแก่ครอบครัว ไม่เห็นแก่ครอบครัว ก็เห็นแต่สังคม หยุดได้หรือยัง?
ถ้าหยุดได้ การด่ารัฐบาล การไล่รัฐบาล ถ้าบริหารไม่ได้เรื่อง ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ หรือ มีผลประโยชน์ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เชิญตามสบาย และชอบธรรมอย่างยิ่ง คำถามก็คือ ทำได้หรือไม่เท่านั้นเอง