“รมช.ธรรมนัส” มอบหมาย ส.ป.ก.ใช้ศูนย์ส่งเสริมและขยายพันธุ์ในเขตปฏิรูปที่ดิน 5 แห่ง และศูนย์สมุนไพรครบวงจรที่ลำปาง ปลูกต้นกล้าฟ้าทะลายโจร ขิง ข่า กระชายขาว และตะไคร้ อย่างน้อยศูนย์ละ 100,000 กล้า แจกจ่ายเกษตรกรกว่า 30,000 ราย โดยมีกรมพัฒนาที่ดินช่วยให้ความรู้การผลิต และให้กองทุนการปฏิรูปที่ดินฯ รับซื้อผลผลิตไปแจกจ่ายประชาชนใช้รักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ มอบนโยบายในการปลูกพืชสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร ณ กรมพัฒนาที่ดิน ว่า จากสถานการณ์ในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นจำนวนมาก พืชสมุนไพรที่มีในประเทศไทยได้รับความสนใจหันมาใช้ประโยชน์โดยเฉพาะในช่วงนี้ ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมที่จะให้การสนับสนุนในการสำรวจพื้นที่การเพาะปลูก เช่น คุณภาพของดินและน้ำ รวมถึงสภาพภูมิอากาศ และพร้อมที่จะช่วยในการแนะนำความรู้ในการเพาะปลูก
“จากสถานการณ์ในปัจจุบัน การแพร่ระบาดของไวรัลโควิด-19 นั้น รวดเร็วและมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น สมุนไพรไทยโดยเฉพาะฟ้าทะลายโจร จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่สามารถนำไปใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ทางกระทรวงเกษตรฯ จึงสนับสนุนให้ทางสำนักงานการปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) ใช้ศูนย์ส่งเสริมและขยายพันธุ์ในเขตปฏิรูปที่ดินจำนวน 5 ศูนย์ และศูนย์สมุนไพรแบบครบวงจรที่ อ.แม่มอก จ.ลำปาง ในการปลูกต้นกล้าฟ้าทะลายโจร ขิง ข่า กระชายขาว และตะไคร้ ซึ่งในแต่ละศูนย์จะผลิตต้นกล้าได้อย่างน้อย 100,000 กล้า พร้อมนำไปแจกจ่ายให้แก่เกษตรกรกว่า 30,000 ราย และจะให้ทางกรมพัฒนาที่ดิน เข้าช่วยสนับสนุนในการให้ความรู้เกี่ยวการใช้ดินและน้ำ นำนวัตกรรมใหม่ๆ มาส่งเสริมในการผลิต และจะให้ทางกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นผู้รับซื้อผลผลิตที่ได้ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ประชาชนต่อไป” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
ทั้งนี้ ฟ้าทะลายโจร ที่ใช้ในการรักษาโควิด-19 เพราะจากผลการวิจัยหลายแห่งได้ระบุถึงสรรพคุณในการป้องกันและรักษาโควิดได้ เนื่องจากมีสารสำคัญ คือ “แอนโดรกราโฟไลด์” มีสรรพคุณสามารถลดความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการไม่หนักได้ ซึ่งในขณะนี้ฟ้าทะลายโจรขาดตลาดอย่างมาก เพราะประชาชนเริ่มมั่นใจในตัวสมุนไพรมากขึ้น ดังนั้น นี่จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษา และนับเป็นโอกาสของเกษตรกรผู้ปลูกพืชสมุนไพรสามารถปลูกฟ้าทะลายโจร ให้มีคุณภาพ มีสารสำคัญเพียงพอ เพื่อแปรรูปผลผลิตจำหน่ายเอง หรือจำหน่ายเป็นวัตถุดิบให้กับหน่วยงานที่จะนำไปแปรรูปเป็นยาเพื่อใช้ในการรักษาต่อไปได้