กสม. ชุดใหม่ประเดิมงานถกราชทัณฑ์ หาแนวทางคุ้มครองสิทธิผู้ต้องขัง ช่วงโควิดระบาด หนุนรัฐจัดสรรวัคซีนโดยเร็ว ขอให้ตระหนักถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
วันนี้ (11 มิ.ย.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดย น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เข้าหารือกับ นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เรื่อง สิทธิมนุษยชนของผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังการหารือ น.ส.พรประไพ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ที่มีการรายงานผู้ติดเชื้อในเรือนจำเป็นจำนวนมาก กสม. มีความห่วงกังวลและติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสภาพของเรือนจำที่มีความแออัด ผู้ต้องขังอยู่กันอย่างหนาแน่น จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อสิทธิด้านสุขภาพของผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในเรือนจำ จากการหารือร่วมกับอธิบดีกรมราชทัณฑ์
ทราบว่า นับแต่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2563 กรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาหลายประการ เช่น การคัดกรองโรคผู้ต้องขังเข้าใหม่ การแยกกักตัวเพื่อเฝ้าสังเกตอาการและการตรวจหาเชื้อในระหว่างแยกกักโรค การรักษาพยาบาลผู้ต้องขังที่พบการติดเชื้อทั้งโดยโรงพยาบาลภายในเรือนจำและการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาภายนอกเรือนจำ การจัดให้ผู้ต้องขังได้รับการเยี่ยมโดยผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ทราบว่า ทางศาลยุติธรรมมีแนวนโยบายในการปล่อยตัวชั่วคราวและลดการนำตัวผู้ต้องขังมาที่ศาล ซึ่งได้ช่วยลดความแออัดและความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการของกรมราชทัณฑ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังมีปัญหาอุปสรรคทั้งจากการกลายพันธุ์ของเชื้อในช่วงการแพร่ระบาดระลอกที่ 3 และข้อจำกัดด้านทรัพยากรเฉพาะอย่างยิ่ง เรือนจำที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากหรือเรือนจำที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดสูง ซึ่ง กสม. ได้รับทราบและมีความห่วงใยต่อข้อจำกัดดังกล่าว เช่น ปัญหาบุคลากรทางการแพทย์มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ต้องขังที่ต้องดูแล บางส่วนต้องรับภาระการทำงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความเหนื่อยล้า เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ ปัญหาการส่งต่อผู้ป่วยไปรับการรักษายังโรงพยาบาลภายนอกเรือนจำในกรณีที่โรงพยาบาลในเรือนจำ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อจำนวนมากอยู่แล้ว การส่งต่อผู้พ้นโทษที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อเข้ารับการกักตัวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีจำนวนสถานที่กักตัวให้ครบกำหนด 14 วันไม่เพียงพอสำหรับผู้พ้นโทษ และ อุปกรณ์สำหรับการเยี่ยมญาติโดยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ กสม. และกรมราชทัณฑ์ยังได้มีการหารือเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสภาพเรือนจำแออัด ซึ่งประเด็นสำคัญที่ กสม. เห็นว่าเป็นเรื่องทางนโยบายที่ต้องได้รับการแก้ไขตั้งแต่ต้นทางของกระบวนการยุติธรรม ทั้งการทบทวนกฎหมายที่มีโทษทางอาญาโดยไม่จำเป็น การใช้มาตรการทางเลือกอื่นในการลงโทษแทนการคุมขัง เช่น การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว รวมถึงการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยระหว่างการพิจารณาคดี ขณะเดียวกัน กสม. สนับสนุนให้เรือนจำได้รับการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ที่เพียงพอและได้รับการจัดสรรวัคซีนโควิด-19 สำหรับผู้ต้องขังโดยเร็ว อันจะส่งผลดีต่อการป้องกันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกลุ่มผู้ต้องขัง
“กสม.ชื่นชมความทุ่มเทในการทำงานของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ทุกคน และขอสนับสนุนให้รัฐบาลโดยกระทรวงยุติธรรมเร่งแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดในเรือนจำและขจัดอุปสรรคในการดำเนินงานด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยตระหนักถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิของผู้ต้องขังที่ต้องได้รับการปกป้องคุ้มครองในภาวะการแพร่ระบาดของโรคติดต่ออันตรายให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับประชาชนกลุ่มอื่น ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ต้องขังได้รับการดูแลสิทธิในสุขภาพ อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญและสอดคล้องกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี ตลอดจนแนวปฏิบัติระหว่างประเทศ เช่น ข้อกำหนดขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง และแนวปฏิบัติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ ต่อไป”