xs
xsm
sm
md
lg

ไฉน “สมชาย” รับจริง! หากคิดแบบล้มเจ้า “ไพศาล” แฉบิดเบือนงบสถาบัน “การ์ดแดง” ยี้ สังคม “3 นิ้ว” น่ากลัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายสมชาย แสวงการ ขอบคุณภาพ จาก truthforyou.co
“สมชาย” รับจริงตามกล่าวหา “หากคิดแบบพวกล้มเจ้า” ชี้ ประเทศไทยตัดสินใจถูกทางที่สุด “ไพศาล” แฉแก๊งลวงโลกบิดเบือน ตัวเลขงบส่วนราชการในพระองค์ “สมบัติ-การ์ดแดง” ตาสว่าง “ยี้” 3 นิ้ว ปาก ปชต.แต่เผด็จการทางความคิด

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (5 มิ.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH และ truthforyou.co โพสต์หัวข้อ

“คนส่งข้อความถึง ส.ว.สมชาย เจ้าตัวรับความจริงตามกล่าวหา หากคิดแบบพวกล้มเจ้า”

โดยเนื้อหาระบุว่า “จากที่วันนี้ 5 มิถุนายน 2564 สมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความจากข้อคำถามเกี่ยวกับวัคซีน และบรรดาพวกที่มีความคิดแบบล้มเจ้านั้น

“มีคนส่งข้อความมาถามว่า เป็นความจริงตามที่กล่าวหาให้ร้ายมั้ย ผมขอตอบว่า จริงครับ หากคิดแบบพวกล้มเจ้าและใช้ตรรกะอคติลบด้านเดียว?

ข้อเท็จจริงคือ 1) รัฐจัดสรรงบประมาณอุดหนุน เอกชน และหน่วยงานต่างๆ ที่มีโครงการร่วมผลิตวัคซีนกว่า 1,000 ล้านบาท กระจายให้ บริษัทใบยา ของเภสัชจุฬาฯ จำตัวเลขไม่ได้ สยามไบโอไซน์ 600 ล้าน ซึ่งเป็นโครงการที่มีความหวังมากสุดในลำดับต้น เพราะจะร่วมมือกับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและแอสตร้าของอังกฤษ เหมือนกันที่รัฐบาลอังกฤษ ก็ใส่งบประมาณช่วยเหลือโครงการนี้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็ใส่เงินช่วยเหลือไฟเซอร์ รัฐบาลจีนใส่เงินงบประมาณช่วยเหลือผู้ผลิตวัคซีน หลายประเทศในอาเซียนใส่งบประมาณในโครงการ covax ฯลฯ

ซึ่งไทยไม่เลือก covax เพราะเป็นแค่เงินลงทุนที่ไม่มีหลักประกันว่า จะได้วัคซีนหรือไม่ และเงินเรียกคืนไม่ได้

**เวลานั้น ยังไม่มีชาติใดในโลกประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีนเลย รัฐบาลทุกชาติต้องตัดสินใจให้ดี

ภาพ นายสมชาย แสวงการ ขอบคุณภาพ จาก truthforyou.co
ประเทศไทยตัดสินใจถูกทางที่สุด เพราะไทยเป็นชาติเดียวในอาเซียนที่ผลิตวัคซีนได้ปีละ 180 ล้านโดส เพื่อส่งให้ประเทศไทยที่เหลือ จึงจะส่งขายให้เพื่อนบ้าน ถ้าดูตัวเลขการผลิตเฉลี่ยเดือนละ 15 ล้านโดส ส่งให้ไทยเดือนละ 10 ล้าน อีก 5 ล้าน จึงส่งออกในอาเซียน

2) สัญญาความร่วมมือผลิต ระหว่างออกซฟอร์ด แอสตร้า และสยามไบโอไซน์ กับสัญญาซื้อขายระหว่างรัฐบาลไทย กับ บริษัทแอสตร้า เป็นคนละเรื่องกัน

ควรแยกให้เข้าใจ เช่นเดียวกับไทยเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนอิเลกทรอนิกส์ ให้ ยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือเป็นฐานการผลิตรถยนต์โตโยต้าของญี่ปุ่น

การผลิตให้ได้ตามออเดอร์ของบริษัทแม่นั้น ถูกต้องแล้วและสยามไบโอไซน์ ก็ผลิตได้ตามนั้น ส่วนการส่งมอบตามสัญญานั้น แอสตร้าโกลบอล ก็ต้องส่งมอบให้รัฐบาลไทย 61 ล้านโดส ครบถ้วน ไม่ส่งมอบก็ถูกปรับ ครับ ไม่เห็นน่ากังวลอะไรนอกจากนั้น ถ้าเกิดภาวะสงครามหรือยามวิกฤตสุดๆ ไทยเรายังมีกฎหมายห้ามส่งออกสินค้าที่ผลิตในไทยได้ด้วย

3) เงินนี้ ไม่สูญเปล่าครับ สยามไบโอไซน์จะจ่ายคืนเป็นวัคซีนมูลค่า 600 ล้านบาท ให้รัฐบาลและคนไทยในอนาคต และยังได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิดจากความร่วมมือครั้งนี้ และเป็นหลักประกันว่าไทยจะมีวัคซีนโควิดจากแอสตร้าและสยามไบโอไซน์ ตลอดไปอีกหลายปี หรือตลอดไป เพราะไม่มีใครรู้ว่า โควิดจะอยู่กับโลกไปนานอีกกี่ร้อยปี

4) ประเทศไทยควรภูมิใจที่นอกจากการมีโรงงานวัคซีนแห่งเดียวในอาเซียน เพราะพระวิสัยทัศน์ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ทรงเล็งเห็นปัญหานี้

เมื่อหลายปีก่อน ผมยังเคยได้พบนักวิชาการจากสยามไบโอไซน์ ที่ได้รับการส่งตัวไปเตรียมตัว การผลิตวัคซีนที่คิวบาด้วย ทั้งๆที่ยังไม่โควิด เพราะ ร.๙ ทรงมีพระราโชบายว่า ขาดทุนคือกำไร ในภูมิภาคนี้มีโรงงานผลิตวัคซีนของแอสตร้า แค่ประเทศไทย เกาหลี อินเดีย และออสเตรเลีย เท่านั้น

สุดท้ายนี้ขอให้คนไทยใช้สมองและปัญญามองด้วยทัศนคติบวก เข้าใจปัญหาและร่วมกันแก้ไข ดีกว่าดรามาไปวันๆ ด่าแต่ประเทศไทยของตัวเอง แต่แอบไปแซงคิวฉีดวัคซีน #เรือไม่พายเลิกเอาเท้าราน้ำกันเถอะ”

ภาพ นายไพศาล พืชมงคล จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol นายไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษาพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ โพสต์ข้อความระบุว่า

“ขบวนการลวงโลก!!!

ไม่รู้กฎหมาย เกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณ จึงกล้ามั่วหลอกประชาชน

ดังนั้น เราควรทำความเข้าใจการหลอกลวงของคนพวกนี้ดังนี้

1. ตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ เป็นแม่บทในการจัดทำงบประมาณของส่วนราชการต่างๆ

ส่วนราชการในพระองค์ ก็ต้องจัดทำงบประมาณ และเสนอไปที่สำนักงบประมาณเหมือนกับส่วนราชการทั้งหลาย

ซึ่งได้ตั้งงบประมาณปี 65 ไว้เพียง 8,700 ล้านบาท

2. กระทรวงต่างๆ ก็ต้องจัดทำงบประมาณตามที่กฎหมายวิธีการงบประมาณบัญญัติ เป็นวงเงินของกระทรวงนั้นๆ และในการใช้จ่ายเงินของกระทรวงนั้นๆด้วย ไม่มีกระทรวงหรือส่วนราชการอื่นล้วงลูกเข้ามาใช้งบประมาณแต่ละกระทรวงได้

3. ในหลายกรณีที่พระเจ้าอยู่หัวทรงรับทราบเอง หรือได้รับการถวายฎีกาว่า ราษฎรมีความเดือดร้อนในเรื่องต่างๆ หลังจากตรวจสอบแล้วก็จะพระราชทานฎีกานั้นๆ ไปให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบพิจารณา

เมื่อราชการส่วนที่รับผิดชอบพิจารณาเห็นจำเป็น ก็ตั้งเป็นโครงการและตั้งวงเงินงบประมาณ เพื่อของบประมาณสำหรับส่วนราชการนั้นทำโครงการต่อไป

งบดังกล่าว จึงเป็นงบของแต่ละกระทรวง จะเอามามั่วรวมเป็น งบส่วนราชการในพระองค์ไม่ได้

4. ยกตัวอย่าง

ราษฎรในอำเภอหนึ่ง ถวายฎีกาว่า ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากไม่มีน้ำใช้ เพราะมีแหล่งน้ำร่องน้ำตื่นเขิน หน้าแล้งก็ไม่มีน้ำใช้ หน้าฝนน้ำก็ท่วม ได้รับความเดือดร้อนสาหัส

เมื่อทรงทราบฎีกาแล้ว ก็จะโปรดให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบ สรุปผลประการใด ก็จะพระราชทานฎีกาไปให้สวนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการ

ซึ่งในกรณีนี้ก็จะเป็นหน้าที่ของกรมชลประทานที่จะออกไปพิจารณาศึกษา หากเห็นว่าจำเป็น เพื่อช่วยเหลือราษฎรให้พ้นจากการเดือดร้อน ก็ตั้งเป็นโครงการของกรมชลประทาน ตั้งเป็นงบประมาณของกรมชลประทาน

งบดังกล่าวนี้ จึงไม่ใช่งบของราชการในพระองค์ แต่พวกลวงโลกก็ยังโมเม ไปเอามารวมเป็นงบส่วนราชการในพระองค์!!!

5. มีกรณีมากหลายที่พระเจ้าอยู่หัวทรงรับเป็นพระราชธุระเอง

เช่น นักเรียนถวายฎีกาขอยืมเงินค่าเล่าเรียนบ้าง หรือพระถวายฎีกาขอบ่อน้ำฝน เพื่อรองน้ำฝนจากหลังคาวิหารเพื่อเก็บไว้ให้ชาวบ้านใช้สอยในหน้าแล้ง หรือราษฎรถวายฎีกาว่ายากจน หลังคาบ้านพัง ฝนตกก็รั่ว ฝนไม่ตกก็ร้อน

มากหลายกรณีเช่นนี้ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงช่วยเหลือ พระราชทานความช่วยเหลือด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์

การตั้งงบประมาณต้องทำตามกฎหมายวิธีการงบประมาณเช่นนี้****

พวกลวงโลกเอาเรื่องนี้มาโกหก เพื่อหลอกลวงประชาชน ให้ชังเจ้า

นี่คืออาชญากรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นบาปเป็นกรรมมาก”

ภาพ นายสมบัติ ทองย้อย จากแฟ้ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน วันนี้ นายสมบัติ ทองย้อย การ์ดเสื้อแดง โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า

“สังคมที่น่ากลัวและอยู่ยากที่สุด คือ สังคมของคนที่ปากบอกว่า เรียกร้อง #ประชาธิปไตย แค่คุณเห็นต่าง คิดต่าง ทำต่าง และอะไรก็ตามที่ต่างออกไปจากคนเหล่านั้น คุณอาจถูกขุดรากถอนโคน รื้อฟื้นเรื่องราวต่างๆ มากมาย แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัว

แม้ว่าตัวคุณอาจเป็นคนที่คนเหล่านั้นชื่นชอบ ชื่นชม หลงใหลได้ปลื้ม แต่เพียงคุณคิดต่าง คิดอะไรไม่เหมือนเขาเหล่านั้น คุณก็ต้องตาย ด้วยคำด่าหยาบคายมากมาย

แต่หารู้ไม่ว่า เรานี่แหละคือ #เผด็จการทางความคิด ถามตัวเองก่อน ว่า #ประชาธิปไตย กับ #เผด็จการ เราแยกแยะ 2 คำนี้ ได้ดีแค่ไหน”

แน่นอน, นี่คือ ภาพสะท้อนถึงการต่อสู้ทางการเมืองของ เหล่าบรรดา “3 นิ้ว” ในประเทศไทย ที่ถูกมองว่า เต็มไปด้วย อคติด้านลบ ต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และสถาบันพระมหากษัตริย์

แม้เป็นเรื่องดี และมีประโยชน์อย่างมากต่อประชาชน ทั้งถูกต้องตามครรลองของกฎหมายทุกอย่าง แต่กลับถูกเอามาบิดเบือน โดยเฉพาะสถาบันฯ ที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะถูกนำมา “ดิสเครดิต” เหมือนหนึ่งเป็นคู่ต่อสู้ทางการเมือง

ขณะเดียวกัน กรณีที่ “สมบัติ” การ์ดเสื้อแดง ซึ่งเคยร่วมชุมนุมกับม็อบเยาวชนปลดแอก หรือ ม็อบ 3 นิ้ว มาก่อน ก็สะท้อนทัศนคติของ สังคม 3 นิ้วได้อย่างเห็นภาพ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปากบอกว่า เรียกร้อง #ประชาธิปไตย แต่ ความคิดเป็นเผด็จการ

ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้น พวก 3 นิ้ว จะ “บูลลี่” หรือ ล่าแม่มดคนเห็นต่าง คิดต่าง เชื่อต่าง และแสดงตัวตนต่างไปจากที่พวกเขาต้องการ ยิ่งถ้าเป็นคนดัง ดารา หรือ นักวิชาชีพที่มีชื่อเสียงในสังคม คนเหล่านี้จะถูก ล่าแม่มด ต่อต้านอย่างรุนแรง จนไม่มีที่ยืนในสังคม และหมดทางทำมาหากินเลยทีเดียว เรื่องนี้มีข่าวให้เห็นอยู่เป็นประจำ และพวกเขาไม่ละอายที่จะทำร้าย ทำลายคนด้วย

เหนืออื่นใด อย่าลืมว่า คนที่เอาเรื่องนี้มาเผยแพร่ ก็คือ คนที่เคยอยู่ร่วมในสังคมของ 3 นิ้ว และวันนี้ตาสว่างแล้ว ว่า แท้จริงพวก 3 นิ้วเป็นคนแบบไหน นักประชาธิปไตยจริง หรือ “จอมปลอม” คนไทยจะต้องพิจารณาเอาเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น