วันนี้ (17 พ.ค.)นายอริย์ธัช ชาติอาริยะพงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตสวนหลวง พรรคกล้า กล่าวว่า ตามกำหนดการวันที่ 1 มิ.ย. 64 จะเป็นวันที่มีเปิดภาคเรียนการศึกษาใหม่ของนักเรียนทั่วประเทศอย่างเป็นทางการ แม้จะมีข่าวว่าจะมีการเตรียมวัคซีนให้กับครูแล้ว แต่ในทางปฏิบัติดูเหมือนยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ปัจจุบันครูทั้งประเทศมีมากกว่าเจ็ดแสนคน ขณะนี้เหลือเวลาอีกเพียง 15 วันเท่านั้น หมายความว่าการฉีดวัคซีนเฉพาะในกลุ่มครูจะต้องมากกว่า 40,000 คนต่อวัน นี่จึงเป็นอีกวาระที่ต้องให้ความสำคัญและจัดการในช่วงนี้
“การศึกษาถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ถือเป็นการวางรากฐานอนาคตประเทศด้วยทรัพยากรมนุษย์ แม้จะมีโรคระบาดเกิดขึ้นก็ไม่ควรหยุดการเรียนรู้ของเด็กไปด้วย ซึ่งการเรียนในโรงเรียนยังเป็นสิ่งสำคัญและมีผลอย่างมากต่อการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย อย่างไรก็ตาม การเปิดเรียนควรจะดำเนินไปบนมาตรฐานการควบคุมโรคและความปลอดภัย นอกจากการจัดสถานศึกษาให้สอดคล้องกับมาตรการควบคุมโรค เช่น การแบ่งรอบการเรียนของนักเรียน หรือการจัดแบ่งโซนของนักเรียนไม่ให้หนาแน่นแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าครูอาจจะต้องข้ามโซนไปมาในการทำงานและมีโอกาสรับและกระจายเชื้อระหว่างกันหรือไปสู่นักเรียนได้ ดังนั้น หากจะเปิดเรียนตามกำหนดการให้ได้จริง ครูควรจะเป็นอีกกลุ่มที่ต้องจัดลำดับความสำคัญในการรับวัคซีนในขณะนี้ และควรทำเป็นวาระแห่งชาติเพื่อให้มีการสั่งการอย่างเป็นระบบและให้ทันต่อการเปิดภาคเรียน”นายอริย์ธัช กล่าว
นายอริย์ธัช กล่าวต่อว่า สำหรับพื้นที่สีแดงเข้มหลายแห่งสถานการณ์ยังน่ากังวล รวมถึงกรุงเทพมหานคร เชื่อว่าจะยังไม่สามารถเปิดเรียนได้ อาจจะยังต้องเน้นที่การเรียนแบบออนไลน์เป็นหลักไปก่อน อย่างไรก็ตาม ก็ยังสามารถออกแบบให้เป็นการนัดนักเรียนมาทำกิจกรรมในโรงเรียนบ้างก็ได้ ดังนั้น ครูในกรุงเทพและพื้นที่สีแดงเข้มก็ควรได้รับวัคซีนไปพร้อมกับพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศด้วยเช่นกัน เมื่อสถานการณ์ดีขึ้นนักเรียนก็จะสามารถกลับคืนโรงเรียนได้โดยเร็ว
นายอริย์ธัช ยังกล่าวต่อว่า สำหรับความกังวลในเรื่องผลข้างเคียงตนเข้าใจดี เป็นเรื่องที่ภาครัฐจะต้องทำให้เกิดความมั่นใจให้ได้ อย่างเช่น การนำใบยืนยันการฉีดวัคซีนของคณะรัฐมนตรีทุกคนมาแสดงต่อสื่อมวลชน ซึ่งเข้าใจว่ามีทั้งที่ฉีดแอสตราฯ และชิโนแวค ซึ่งเป็นวัคซีนที่เรามีใช้อยู่ในขณะนี้ หากคณะรัฐมนตรีพร้อมแสดงความมั่นใจในวัคซีนทั้งสองชนิดและมีหลักฐานยืนยันชัดเจน จะส่งผลอย่างยิ่งต่อความมั่นใจในวัคซีนขณะนี้ นอกจากนี้ บางประเทศยังมีการนำนโยบายเชิงบวกมาใช้ อย่างในสหรัฐมีลุ้นรับเงินจากการฉีด ซึ่งนโยบายเหล่านี้มีความน่าสนใจอาจนำมาปรับใช้ได้ แต่หากมีข้อจำกัดด้านกฎหมาย อาจใช้วิธีการให้เป็นเงินเยียวยาหนึ่งล้านบาททุกกรณีที่มีการเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนก็ได้ เพราะหากเชื่อมั่นว่าวัคซีนมีความปลอดภัยสูง เงินจำนวนนี้ก็ไม่ต้องจ่ายอย่างแน่นอน เป็นการแสดงความเชื่อมั่นแบบหนึ่งที่รัฐสามารถยืนยันได้ ที่เหลือคือเรื่องอาการข้างเคียงไม่พึงประสงค์ที่สามารถอยู่ในการดูแลของแพทย์จึงไม่ใช่อาการที่น่ากังวลอะไร