ไม่ต้องให้ใครมาแฉ “ม็อบ REDEM” แสดงเอง อันธพาลครองถนน ประจาน “สามกีบ” ด้วยการเมามาย เหล้า-ยา ก่อเหตุรุนแรง “กวิ้น” ลั่น ยุติธรรมไม่ปรากฏ อดข้าวไม่ยุติ “ศาล” แถลงประณามม็อบ 3 นิ้ว สั่งเอาผิดตามกฎหมายเต็มที่
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (3 พ.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“ท้าทายกฎหมายสุดๆ!! ชำแหละยับ แก๊ง REDEM ศูนย์รวมอันธพาล เสพยาข้างทาง ก่อนออกไปก่อจลาจล เย้ยกฎหมายรุนแรง!!
#ท้าทายกฎหมาย #REDEM #ศูนย์รวมอันธพาล
พร้อมกับแชร์เนื้อหาจาก TRUTHFORYOU.CO ระบุว่า
“จากที่ได้มีการชุมนุมของกลุ่ม REDEM เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 64 ที่ผ่านมา ซึ่งหลายๆ คนคงคุ้นเคยกันอยู่แล้วว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ REDEM นั้น ถือว่าขึ้นชื่อเรื่องก่อเหตุความรุนแรงในการชุมนุมทุกๆ ครั้ง ที่มีการนัดรวมตัว
โดยในกลุ่ม REDEM นั้น มีตัวหลักๆ ที่คอยสร้างสถานการณ์ เพื่อยกระดับการก่อจลาจล เป็นกลุ่มเดิมๆ ซึ่งกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มการ์ดปลายแถวของ “กลุ่มการ์ดอาชีวะ” และ “กลุ่มการ์ด WEVO” กลุ่มเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นที่มีอาการมึนเมา และมีการนำระเบิดติดตัวมาด้วยทุกครั้งในการชุมนุมของ REDEM
ซึ่งล่าสุดในวันที่ 3 พ.ค. 64 “เจ๊จุก คลองสาม” โพสต์ภาพ ที่เรียกว่า สุดอุกอาจ มีการผสมยาแก้ไอ หรือที่กลุ่มเยาวชนเรียกกันว่า 4 คูณ 100 ซึ่งเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง ที่ทำให้มีอาการมึนเมา อยู่ริมถนน แบบไม่เกรงกลัวกฎหมาย หรือสายตาใครทั้งสิ้น เหมือนกับบ้านเมืองไม่มีกฎหมาย ถึงมีก็ทำอะไรพวกนี้ไม่ได้ โดยทางด้านของ เพจ “เจ๊จุก คลองสาม” โพสต์ข้อความว่า
“เจ๊ไม่ได้จบเภสัชมา แต่คิดว่า แฟนคลับเจ๊คงจะดูออกนะคะว่า คนในรูปเค้ากำลังทำอะไรกันอยู่ ปรุงอาหาร? ไม่สบายเลยต้องบดยา ผสมยา? ไหนใครรู้ช่วยบอกให้คนอื่นๆ รู้กันหน่อยสิคะว่า คนพวกนี้เค้ากำลังทำอะไรกันอยู่”
หลังจากนั้น “เจ๊จุก คลองสาม” ยังโพสต์คลิป ซึ่งเผยว่าเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่ผสมยาและดื่มกินกันจนเกิดอาการเมา แล้วมาก่อเหตุความรุนแรงต่อในช่วงค่ำ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
“พอยาที่เสพไปมันทำงาน ความห้าว ความกล้าบ้าบิ่น มันก็ครอบงำให้กล้าทำชั่วแบบไม่กลัวกฎหมาย”
ขณะเดียวกัน จากกรณี กลุ่มมวลชน REDEM (รีเด็ม) เครือข่ายกลุ่ม “ราษฎร 63” หรือม็อบ 3 นิ้ว ก่อความวุ่นวายหน้าศาลยุติธรรม เมื่อช่วงเย็นวานนี้ ด้วยการปาไข่ สาดสี รวมทั้งยิงหัวนอต ลูกเหล็ก ลูกแก้ว ลูกหิน ใส่บริเวณกระจกทางเข้าศาลอาญา เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำคณะราษฎร ที่ถูกคุมขังในคดี ม.112
ต่อมา นายสมบัติ ทองย้อย หัวหน้าการ์ดเสื้อแดง และแนวร่วมกลุ่ม “ราษฎร” โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
“ปากบอกรักและเป็นห่วงคนในเรือนจำ แต่พวกคุณไปแสดงออกแบบนี้ เขาคงเห็นใจนะ อย่าอ้างกันเลย มือที่ 2-3-4-5 มันก็มือที่พวกคุณๆ เห็นทั้งนั้นแหละว่าใครทำ ใครเริ่ม รักแบบนี้ เรียกร้องแบบนี้ ห่วงแบบนี้สงสารเพื่อนพี่น้องในเรือนจำว๊ะ ทำไมไม่คิดกันบ้างว๊ะ"
"เหตุการณ์วันนี้บอกเลย ติดยาวไป ไม่ได้ช่วย แต่ซ้ำเติมให้คนข้างในอยู่ยาวขึ้น ใครว่า ไม่เกี่ยว แต่ผมบอกเลยว่าเกี่ยว เกี่ยวมากด้วย"
ส่วน เพจ เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak โพสต์ข้อความว่า
“ยุติธรรมไม่ปรากฏ อดอาหารไม่ยุติ!!!
เพนกวิน-พริษฐ์ เดินหน้าอดอาหารวันที่ 48 แม้จะได้รับการรักษาตัวใน รพ. รอการไต่สวนคำร้องประกันวันที่ 6 พฤษภา นี้
ล่าสุด แพทย์วินิจฉัยว่า เป็นโรคกระเพาะ และมีอาการมึนหัว หน้ามืด แสบท้อง เสี่ยงเป็นไวรัสตับอักเสบ
เพนกวินยังคงอดอาหารต่อ ต้านอยุติธรรม จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว คืนสิทธิ์การประกันตัว ขอทุกคนโปรดจับตา! ในวันไต่สวนคำร้อง 6 พฤษภาคมนี้ เวลา 10:00 น. ณ ศาลอาญารัชดาฯ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน วันนี้สำนักงานศาลยุติธรรม เผยแพร่แถลงการณ์หลังกรณีผู้ชุมนุมกลุ่มรีเดมชุมนุมหน้าศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2564 มีเนื้อหาระบุว่า
สำนักงานศาลยุติธรรมขอแจ้งให้ทราบว่า ในการดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาและมีคำสั่งในคดีทั้งปวง ศาลยุติธรรมให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเสมอมา และรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะความคิดเห็นทางวิชาการที่มุ่งก่อให้เกิดความสร้างสรรค์และพัฒนาการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมที่เกิดขึ้นบริเวณศาลอาญาเมื่อคืนวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่บุคคลจำนวนหนึ่ง ใช้ความรุนแรงด้วยการขว้างปาสิ่งของ ใช้เครื่องมือยิงวัสดุเข้ามาในอาคารศาล การใช้วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง จนเกิดความเสียหาย ความรุนแรง และไม่สงบขึ้นนั้น นอกจากจะเป็นการทำลายทรัพย์สินของทางราชการแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดูแลรักษาความปลอดภัยในบริเวณศาลอาญา ถือไม่ได้ว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นในระบอบประชาธิปไตยและอันเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยชอบธรรมภายในกรอบของกฎหมาย
อีกทั้งยังมีลักษณะของการก้าวล่วงใช้ความรุนแรงเพื่อแทรกแซงโดยหวังผลให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาไปในทางหนึ่งทางใดตามที่กลุ่มผู้ใช้ความรุนแรงมุ่งประสงค์ โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์ของกฎหมาย อันเป็นการมุ่งทำลายความอิสระของตุลาการตามรัฐธรรมนูญ
นอกจากการใช้ความรุนแรงดังกล่าวแล้ว ปัจจุบันยังมีพฤติกรรมทำนองขู่เข็ญ และสร้างความหวาดกลัวไม่เพียงแก่บุคลากรในศาลยุติธรรมเท่านั้น หากแต่ยังมีการขู่เข็ญและสร้างความหวาดกลัวไปยังบุคคลในครอบครัวของผู้พิพากษาและบุคลากรในศาลยุติธรรมด้วย ทั้งๆ ที่บุคคลดังกล่าวไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาพิพากษาคดีแต่อย่างใด
พฤติกรรมดังกล่าว ที่มีการกระทำในลักษณะเป็นขบวนการ ใช้สื่อโซเชียลต่างๆ ล้วนมุ่งหวังให้เกิดผลในทำนองเดียวกับการใช้ความรุนแรงข้างต้นที่ต้องการให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งในทางที่ตนเองหรือขบวนการของตนต้องการ โดยไม่คำนึงถึงหลักเกณฑ์ของกฎหมาย จึงไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นหรือการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอันชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย
ในการนี้ สำนักงานศาลยุติธรรม จึงขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้ตรวจสอบการกระทำและพยานหลักฐานที่ปรากฏ หากมีการกระทำใดที่เป็นการละเมิดหรือฝ่าฝืนกฎหมาย ขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการของกฎหมายอย่างเคร่งครัด และขอให้พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วนแสดงความคิดเห็นและใช้เสรีภาพของตนอย่างสันติ ด้วยความสงบ และงดเว้นการกระทำใดๆ ที่อาจเป็นอันตรายแก่ชีวิต เป็นภยันตรายแก่ร่างกาย หรือสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินไม่ว่าของส่วนบุคคลหรือของทางราชการ และให้การดำเนินกระบวนพิจารณาต่างๆ ดำเนินไปตามครรลองของกฎหมายที่มีการตรวจสอบและถ่วงดุลตามที่กฎหมายกำหนด
ในการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง ศาลยุติธรรมทุกศาลจะยังคงทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ปราศจากอคติ พิพากษาและมีคำสั่งให้คู่ความทุกฝ่ายได้รับความยุติธรรมภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันต่อไป”
แน่นอน, สิ่งที่หลายคนรู้สึกเอือมระอามานาน กับการแสดงพฤติกรรมอุจอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย ราวกับบ้านเมืองไม่มีขื่อแป ของม็อบ 3 นิ้ว วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
แถมมีคนเอาภาพมาแฉให้เห็นว่า มีการดื่มเหล้า เมายา ก่อนก่อเหตุรุนแรงด้วย ก็ยิ่งนับว่า เลวร้ายเข้าไปใหญ่
อะไรไม่สำคัญเท่ากับเป็นการก่อความรุนแรงกับ ศาลสถิตยุติธรรม และบุคลากรของศาล ยิ่งไม่ใช่แค่ความรุนแรงอุกอาจ หากแต่ยังถือว่า ลบหลู่ดูหมิ่นสถาบันหลัก หนึ่งในสาม ของระบอบประชาธิปไตย อีกด้วย
และยังดูเหมือนว่า ใครก็ตาม ที่ขวางทางการเสนอ “ปฏิรูปสถาบัน” แม้จะด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบตามกฎหมาย ก็ตาม พวกเขา หรือ สถาบันเหล่านั้น ต่างถูกหยิบยื่นความเป็น “ศัตรู” ผู้สนับสนุนเผด็จการ หรือ อยู่ฝ่ายเผด็จการ รับใช้เผด็จการทั้งสิ้น
ศาลก็กำลังตกอยู่ใสถานการณ์เช่นนั้นด้วยหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ยิ่งน่ากลัวว่า ขบวนการ 3 นิ้ว จะต้องล้มล้างทั้งหมด จนแทบไม่เหลือสถาบันอันน่าเชื่อถือในประเทศไทยอยู่เลย หรือไม่?
เหนืออื่นใด แถลงการณ์ของศาลที่ออกมา สะท้อนให้เห็นว่า ศาลเองก็เล็งเห็นปัญหาอันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้น และจำเป็นที่จะต้องทำอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะมาตรการเอาผิด เพื่อไม่ให้การกระทำดังกล่าวเป็นแบบอย่างอีกต่อไป
แล้วมาดูกันว่า จะได้ผลหรือไม่ หรือไม่มีใครหน้าไหนเอาอยู่อีกแล้ว?