“รสนา” ตั้งคำถาม เรากำลังถูกหลอกเรื่องวัคซีนหรือไม่ ชี้ วัคซีนโควิด-19 ที่อยู่ในตลาดขณะนี้ไม่ตอบโจทย์การป้องกันและรักษาโรค เพราะเพิ่งวิจัยและนำมาใช้แบบฉุกเฉิน ไม่มีความจำเป็นต้องซื้อมาใช้ให้สิ้นเปลืองงบประมาณ แนะใช้หลัก 4 ร. คือ รัดกุม รอให้วัคซีนเป็นตลาดของผู้ซื้อ รักษาผู้ติดเชื้อ และเร่งวิจัยการรักษาด้วยวิธีพึ่งพาตัวเอง
วันนี้ (10 เม.ย.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และผู้ประกาศตัวลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก แฟนเพจ รสนา โตสิตระกูล ในหัว หรือเรากำลังถูกหลอกเรื่องวัคซีน!? มีรายละเอียดว่า การระบาดใหญ่ระลอก 3 ที่สถานบันเทิงย่านทองหล่อที่เกิดจากกลุ่มไฮโซ และกลุ่มนักการเมืองที่ไปมั่วสุมกันในแหล่งบันเทิงถูกสื่อเรียกขานว่าเป็น “ไทยคู่ฟ้าคลัสเตอร์” และยังพบเชื้อโควิดสายพันธ์ุอังกฤษ B.1.1.7 ที่แพร่กระจายเร็ว และรุนแรงกว่า 2 ระลอกแรก ทำให้ความคาดหวังที่ว่าเมื่อมีการฉีดวัคซีนแล้ว จะสามารถเปิดประเทศ เปิดเมือง เปิดรับการท่องเที่ยวได้อย่างเสรี ไม่มีกักตัว 14 วัน น่าจะถูกเลื่อนเวลาออกไปอีกพอสมควร
วัคซีน 2 ชนิดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คือ ซิโนแวคจากจีน และแอสตร้าเซนเนก้าจากเกาหลีใต้ ขณะนี้มีการถกเถียงกันระหว่างหมอด้วยกันเองว่ามีประสิทธิภาพเพียงใดกันแน่
วัคซีนโควิดเป็นวัคซีนที่ถูกพัฒนามาในระยะเวลาอันสั้น เพียงปีกว่าๆ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงไม่สามารถกล่าวอ้างว่าจะมีประสิทธิภาพตามที่คาดหวังไว้ได้ วัคซีนโดยทั่วไปการพัฒนาต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4-6 ปี โดยหลักแล้ววัคซีนถูกพัฒนาด้วยวัตถุประสงค์หลัก คือ
1) ป้องกันการติดเชื้อตัวนั้น และไม่ติดซ้ำอีก
2) ไม่แพร่เชื้อต่อ
3) ลดความรุนแรง และควบคุมโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การที่วัคซีนโควิดถูกพัฒนาขึ้นในสถานการณ์ฉุกเฉินบริษัทยาและผู้จำหน่าย จึงไม่รับรองผล และไม่รับผิดชอบหากเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากวัคซีนที่ผลิตขึ้นมา จึงต้องให้รัฐบาลของแต่ละประเทศเป็นผู้รับผิดชอบ และพิจารณาที่จะใช้กับประชาชนของตนเอง
วัคซีนที่คนไทยเคยฉีดป้องกันโรค เช่น อหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ฯลฯ ล้วนแต่เป็นวัคซีนที่ฉีดแล้วเราจะไม่เป็นโรคนั้นซ้ำอีกและไม่ต้องเซ็นใบยินยอมเหมือนก่อนเข้าห้องผ่าตัดให้ใจแป้วอีกด้วยแต่สำหรับวัคซีนโควิด เมื่อฉีดแล้วไม่มีหลักประกันว่าจะไม่ติดเชื้อโควิดซ้ำหรือไม่แพร่เชื้อให้คนอื่นอีก ยิ่งเชื้อกลายพันธุ์ ยิ่งไม่มีหลักประกันว่าฉีดวัคซีนแล้วจะป้องกันได้ผล สิ่งที่วัคซีนจะช่วยได้ ตามที่รัฐบาลประชาสัมพันธ์ คือ เมื่อติดเชื้อแล้ว จะลดความรุนแรงไม่ให้ถึงตาย ในกรณีที่ผู้รับวัคซีนไม่เกิดอาการแทรกซ้อนถึงตายเสียก่อนจากวัคซีน ส่วนผลไม่พึงประสงค์นั้นยังตอบไม่ได้ เพราะต้องดูจากรายงานหลังจากวัคซีนออกสู่ตลาด (post marketing) แล้วมีการฉีดเป็นจำนวนหลายล้านโดส ซึ่งเท่ากับว่าประชาชนกลายเป็นหนูทดลองยาในการศึกษาวิจัยวัคซีนระยะที่ 4 (Phase 4) ให้กับกลุ่มบริษัทยายักษ์ใหญ่ที่ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลโดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ใช่หรือไม่
คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้พูดเมื่อวันที่ 8 เมษายน ในรายการทีวีช่องหนึ่งว่า วัคซีนโควิดตั้งเป้าหมายว่า ถ้าติดเชื้อหลังจากฉีดวัคซีนแล้ว จะไม่เสียชีวิต ไม่ใช่ป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ และยังต้องยกการ์ดสูงคือใส่มาสก์ ล้างมือบ่อยๆ และรักษาระยะห่าง ไม่ไปอยู่ในอโคจรสถาน เพราะหากประมาทและมีผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนมากๆ โรงพยาบาลจะไม่มีอุปกรณ์ในการดูแลรักษา สถานการณ์จะวิกฤต และการจะเห็นผลของวัคซีนต้องฉีดให้ได้ถึง 25% ของประชากร (หรือราว 15 ล้านคนขึ้นไป) ในขณะที่ปัจจุบันประเทศไทยยังฉีดได้ไม่ถึง 1% ประเด็นสำคัญที่ท่านคณบดีพูดคือ ขณะนี้ต่อให้มีเงินก็อาจจะซื้อวัคซีนไม่ได้ และประเทศเราก็ไม่ใช่ประเทศร่ำรวย จึงควรมีมาตรการอื่นๆ ด้วย
ขณะนี้ รพ.เอกชนกดดันรัฐบาลขอเป็นผู้ซื้อวัคซีนมาฉีดให้คนไทยเอง ในขณะที่บ่ายเบี่ยงไม่รับตรวจโควิดอ้างว่าน้ำยาหมด แต่ที่จริงคือ ไม่ต้องการรับคนไข้โควิดมานอนโรงพยาบาล เพราะแย่งที่ของคนไข้โรคอื่น และคนไข้อื่นก็กลัวที่จะไปเข้าโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยโควิด ใช่หรือไม่ แต่โรงพยาบาลบางแห่งกลับต้องการขอจัดหาวัคซีนมาฉีดแทนรัฐ เพราะวัคซีนสามารถสร้างกำไรจากผู้มีกำลังซื้อ ใช่หรือไม่
วัคซีนที่มีในขณะนี้จึงไม่ได้ตอบวัตถุประสงค์หลักของวัคซีนทั้งการป้องกันการติดเชื้อ การไม่ติดเชื้อซ้ำ และการไม่แพร่เชื้อต่อเลย อีกทั้งยังไม่สามารถช่วยผู้สูงอายุที่เสี่ยงสูงได้ เพราะการฉีดวัคซีนในผู้สูงอายุยังเสี่ยงต่อการแพ้รุนแรงและเสียชีวิต ซิโนแวค ประสิทธิศักดิ์ (Vaccine efficacy) ต่ำ แต่ฉีดกันมากเพราะเห็นว่าปลอดภัย แต่กลับห้ามฉีดในผู้สูงวัยซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงอาการรุนแรงต่อโรคโควิด-19 มากที่สุด ในขณะที่วัตถุประสงค์เรื่องลดความรุนแรงจากการติดเชื้อสามารถอาศัยการรักษาด้วยสมุนไพรไทยอย่างมีประสิทธิผลและพึ่งพาตนเองได้จริงๆ
ดิฉันจึงยังไม่เห็นประโยชน์และความจำเป็นที่แท้จริงของวัคซีนในท้องตลาดในเวลานี้ เพราะสิ้นเปลืองงบประมาณและยังไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจและชีวิตของคนไทย วัคซีนโควิดไม่ใช่เครื่องรางของขลังที่จะป้องกันภัยจากโควิดได้ แต่อาจทำให้ประมาท การ์ดตก ไม่ระมัดระวัง แม้แต่รัฐมนตรีที่ฉีดวัคซีนแล้ว ก็ยังติดเชื้อโควิดได้
ในยามที่รัฐบาลไม่สามารถหาวัคซีนในระดับป้องกันได้ อย่างแท้จริงเหมือนวัคซีนในอดีตที่เราเคยฉีดกันมา และเชื้อยังกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ รัฐบาลจึงต้องทุ่มเทสรรพกำลังในการลดการติดเชื้อ สร้างภูมิคุ้มกันเองและการรักษาให้หายโดยการพึ่งพาภูมิปัญญาตัวเองให้มากที่สุด
ดิฉันจึงขอเสนอมาตราการ 4 ร ดังนี้
1. รัดกุม
ใส่มาสก์ ล้างมือ รักษาระยะห่าง อย่าไปในที่อโคจรสถาน สถานที่แออัด การดูแลรักษาสุขภาพสร้างภูมิคุ้มกัน การรักษาความสะอาดสถานที่สาธารณะ ควบคุมสถานบันเทิง มวย คอนเสิร์ต แข่งบอล บ่อน และที่แออัดตามลักษณะทางธุรกิจ
2. รอ
วัคซีนในปัจจุบันเป็นตลาดของผู้ขาย มีราคาแพง และยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาประสิทธิศักดิ์ ที่ยังไม่ได้ดีพอ และยังไม่ปลอดภัยพอ ดังนั้นควรรอให้เป็นตลาดของผู้ซื้อ ซึ่งคือไตรมาส 4 หรือต้นปีหน้า เมื่อวัคซีนมีปริมาณมากขึ้น และประสิทธิศักดิ์สูงขึ้น ปลอดภัยขึ้น รวมถึงราคาวัคซีนจะถูกลง แน่นอน
3. รักษา
สำหรับผู้ที่ตรวจพบเชื้อและไม่แสดงอาการหรืออาการน้อย ให้กักตัวเองอยู่ที่บ้าน 14 วัน หรือผู้ใดเริ่มมีอาการหวัด เจ็บคอ มีไข้ ใช้ฟ้าทะลายโจรและยาขาวเพื่อดูแลตัวเอง หากใช้ยาฟ้าทะลายโจรครบ 3 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล การรักษาในโรงพยาบาล ก็เป็นการใช้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาฟาวิเวียร์ ซึ่งปกติใช้รักษาไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ไม่มีงานวิจัยว่าฆ่าเชื้อโควิด ก็ยังนำมาใช้ ส่วนฟ้าทะลายโจรมีการทดลองโดยกรมการแพทย์แผนไทยฯและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถฆ่าเชื้อโควิดในหลอดทดลองได้ และมีการใช้รักษาคนติดเชื้อโควิดในสถานกักกันโรคจำนวน 6 ราย ที่มีอาการปานกลางหายได้ภายใน 5 วัน และมีการศึกษาเปรียบเทียบกับยาหลอกจำนวน 50 ราย และยังมีการใช้รักษาคนป่วยโควิดใน รพ. ศูนย์ รพ. ทั่วไป และ รพ. ชุมชน จำนวน 270 รายหายป่วยจากโควิดได้ จึงควรนำมาใช้ดูแลเบื้องต้น เพื่อไม่ให้คนป่วยต้องไปอยู่แออัดใน รพ. หรือ รพ. สนาม
4. เร่งวิจัย
ทดสอบและติดตามผลย้อนหลังของการใช้ฟ้าทะลายโจร พร้อมตรวจ Antibody และติดตามผลการรักษา หากหายได้ภายใน 5 วัน จึงประกาศเป็น “โรคที่สามารถรักษาหายได้ ด้วยการพึ่งพาตัวเอง” ถ้าถึงจุดนั้น ก็ไม่ต้องปิดกิจการ ไม่ต้องปิดโรงเรียน และไม่ต้อง “ตรวจแสวงหาจำนวนผู้ติดเชื้อ” โดยไม่จำเป็น
และประเทศไทยจะเข้าสู่ Newly New Normal ได้ในที่สุด