ภาคีนัก กม.สิทธิมนุษยชน-แนวร่วมกลุ่มราษฎร” ยื่นฟ้อง ตร.ฉีดน้ำสารเคมี-สลายการชุมนุมหน้าสภา 17 พ.ย. 63 โวยไม่ปฏิบัติตาม กม.-ไม่เป็นไปตามหลักสากล ขอศาลปกครองสั่ง ตร.ยุติใช้กำลังจัดการผู้ชุมนุม
วันนี้ (26 มี.ค.) ภาคีนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน นำโดยนางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว นักกิจกรรมทางการเมือง แนวร่วมกลุ่มราษฎร พร้อมด้วยตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ด้านหน้าอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2563 ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้สั่งผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหมดยุติการใช้กำลังจัดการการชุมนุมที่เกินสมควรแก่เหตุกับผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎรและกลุ่มผู้ชุมนุมอื่นๆ รวมทั้งให้ชดใช้ค่าเสียหายจากการละเมิดเสรีภาพการชุมนุมแก่ผู้ฟ้องคดี โดยนายอัมรินทร์ สายจันทร์ ทนายความ เปิดเผยว่า การยื่นฟ้องคดีวันนี้เพื่อต้องการให้เป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบการใช้อำนาจของตำรวจเกี่ยวกับการควบคุมดูแลการชุมนุมสาธารณะ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานในการกำกับดูแลการทำหน้าที่ของตำรวจในการคุ้มครองเสรีภาพการชุมนุมการดูแลความปลอดภัยทั้งของผู้ชุมนุมและประชาชน โดยท้ายคำร้องขอให้ผู้ถูกฟ้องคดี ยุติการใช้กำลังจัดการการชุมนุมที่เกินกว่าเหตุ อันเป็นการละเมิดต่อเสรีภาพการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญและเป็นการใช้กำลังโดยไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ 2558 ไม่เป็นไปตามแผนดูแลการชุมนุมสาธารณะและคู่มือการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะฯ โดยเฉพาะการใช้กำลังและเครื่องมืออุปกรณ์ควบคุมฝูงชนที่ไม่เป็นไปตามหลักสากล เช่น ห้ามฉีดน้ำแรงดันสูงผสมแก๊สน้ำตาหรือสารเคมี และหรือห้ามใช้กระสุนยางยิงใส่ผู้ชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ ห้ามวางสิ่งกีดขวางขัดขวางการใช้เสรีภาพในการชุมนุมเกินกว่าเหตุโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นต้น
ด้านนางอังคณา นีละไพจิตร กล่าวว่า วันดังกล่าวตนเดินทางไปเพื่อจะเข้าร่วมประชุมในฐานะกรรมาธิการที่รัฐสภา และได้มีการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ก่อนเดินทางโดยได้รับคำยืนยันว่าสามารถเดินทางเข้าอาคารได้ การจราจรปกติ ซึ่งตนเดินทางไปก่อนที่การชุมนุมจะเริ่ม ก็พบว่ามีการปิดกันเส้นทางแล้ว เมื่อเจรจากับเจ้าหน้าที่ขอเปิดช่องทางเล็กๆ เพื่อผ่านเจ้าหน้าที่ก็ไม่รับฟัง และมีการขู่ว่าหากเข้าใกล้แนวกั้นก็จะทำการฉีดน้ำ ใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง จากประสบการณ์ส่วนตัวเห็นว่าบริเวณรัฐสภาเป็นพื้นที่สาธารณะ ปลอดภัย ประชาชนสามารถใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นแสดงออกได้ พื้นที่หน้ารัฐสภาไม่ควรที่จะถูกจำกัด หากมีเหตุการณ์ที่จะต้องปิดกั้น เจ้าหน้าที่ควรมีความยืดหยุ่น แต่การกระทำของเจ้าหน้าที่วันดังกล่าวเหมือนพยายามที่จะใช้ความรุนแรง ปราบปรามอย่างเดียวโดยที่ไม่การผ่อนปรน
“เหตุที่เพิ่งมาฟ้องส่วนหนึ่งเพราะหลายๆ คนกังวล หวาดกลัวเรื่องความปลอดภัยว่าจะถูกแก้แค้นหรือไม่ถ้ามาฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งจริงๆ ควรมีกลไกตรวจสอบการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ และเราพบว่าหลังจากวันที่ 17 พ.ย. 63 เจ้าหน้าที่เองก็ใช้กำลังมาโดยตลอด แม้เจ้าหน้าที่ออกมาขอโทษแต่ก็ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบ อะไร ไม่ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน ไม่มีการชดใช้หรือเยียวยา และในวันนั้นไม่มีกระทั่งรถพยาบาลที่จะนำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล มีแต่การช่วยเหลือกันเองของผู้ชุมนุม ส่วนตัวก็หวังว่าศาลปกครองจะเป็นที่พึ่งของประชาชนในการที่ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น”
ด้าน น.ส.ชลธิชากล่าวว่า ตนมาฟ้องคดีในฐานะผู้เสียหายจากการไปร่วมชุมนุมในวันดังกล่าวที่โดนแรงดันน้ำ และสารเคมีที่อยู่ในน้ำทำให้เกิดอาการผิวหนังแพ้สารเคมี ไอเป็นเลือด เห็นว่าการชุมนุมในวันดังกล่าวผู้ชุมนุมขาดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ ทั้งที่การชุมนุมของคณะราษฎรตั้งแต่ปีที่แล้วเรื่อยมาจนปัจจุบันเราได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ ชอบด้วยกฎหมาย แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่กลับพยายามขัดขวางการชุมนุมทำให้เจตจำนงของประชาชนที่ต้องการจะแสดงพลังและยืนยันว่าสภาผู้แทนราษฎรควรที่จะรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนไม่เกิดขึ้นจริง และเมื่อมันเสียหายไปแล้วมันเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ของประชาชนและประเทศชาติ ที่มันไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้
“ที่ตัดสินใจเป็นผู้ที่ยื่นฟ้องในคดีนี้ก็เพื่อประกันสิทธิ ว่าสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบของประชาชนและคนไทยทุกกลุ่มไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยกับรัฐบาล หรือเห็นต่างจากรัฐบาล หรือมีข้อเรียกร้องในการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ก็ต้องสามารถทำได้เช่นเดียวกัน มันไม่ควรจะมีข้อห้ามใดๆ รวมทั้งต้องการตรวจสอบอำนาจการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะนับตั้งแต่ปี 63 เจ้าหน้าที่ตำรวจมักไม่ปฏิบัติตามกฎหมายแม้จะมี พ.ร.บ.การชุมนุม มีแผนรับมือการชุมนุมสาธารณะ แต่การดำเนินการของตำรวจกลับขัดต่อกฎหมายโดยตลอด และกลับนำกฎหมายดังกล่าวมาดำเนินการเอาผิดต่อผู้ชุมนุม ซึ่งหวังว่าการยื่นฟ้องศาลปกครองในวันนี้จะเป็นบรรทัดฐานเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมอีก”
ผู้ปกครองเด็ก 3 ขวบที่ได้รับผลกระทบกล่าวว่า วันดังกล่าวคิดว่าตำรวจทำเกินกว่าเหตุ ตนและลูกไม่ได้มีเจตนาจะเข้าไปร่วมชุมนุมเลยเพียงแค่ผ่านไป ตอนที่ไปเจ้าหน้าที่ยังเปิดแบริเออร์ให้เข้าอยู่ เมื่อเข้าไปถึงเสรีไทยราว 300 เมตร ก็เจอกับผู้ชุมนุมอีกกลุ่มหนึ่ง ก็วนกลับคิดว่าจะออกทางเก่าได้ แต่เมื่อกลับมาตำรวจปิดทางเก่าแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุม 2 กลุ่มกำลังดันกันเข้ามา ทำให้ตนและลูกไม่สามารถออกมาได้ แล้วไปปรากฏเป็นภาพข่าวที่ทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดกล่าวหาว่าผู้ปกครองพาเด็กเข้าไปเพื่อที่จะให้เป็นโล่มนุษย์ รับแรงดันน้ำสูง ซึ่งแค่รถน้ำธรรมดาก็รุนแรงพอแล้ว แต่กลับมีการผสมสารเคมีเข้าไป เด็ก 3 ขวบทนไม่ไหวแน่ จึงอยากฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจพิจารณามาตรการในการควบคุมฝูงชนให้ดีกว่าที่ผ่านมา ผลกระทบที่เกิดขึ้นถ้าไปโดนกับลูกหลานตำรวจขึ้นมาบ้างจะรู้สึกอย่างไร