“ไพบูลย์” เรียกร้อง “อนุทิน” ให้สอบ “ชาดา” กรณีกล่าวไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยกับพวกฉ้อฉล ศรีธนญชัย โกหกปลิ้นปล้อน ไร้สาระสิ้นดี นี่คือสภาโจ๊ก มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อชื่อเสียงของ ส.ส.-ส.ว.474 คน และรัฐสภา
วันนี้ (19 มี.ค.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ฝ่ายกฎหมาย ในฐานะผู้เสนอญัตติให้ที่ประชุมพิจารณาดำเนินการตามระเบียบวาระเรื่องด่วน (ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ม.256 เพิ่มหมวด 15/1) เนื่องจากเห็นว่ารัฐสภาใช้เวลาพิจารณาในวาระที่ 1 แจ้งเพื่อทราบมาถึง 11 ชั่วโมงแล้วยังไม่ได้ข้อยุติ ทำให้สมาชิกรัฐสภาทุกคนกำลังเหนื่อยล้า เพราะอภิปรายตั้งแต่ช่วงสายลากยาวจนถึงเกือบ 3 ทุ่ม ตนจึงหารือร่วมกันกับนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล หาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงเสนอญัตติขึ้นมาใหม่ต่อที่ประชุมว่า “เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา และสมาชิกรัฐสภา จึงขออนุญาตเสนอญัตติตามข้อบังคับการประชุม ข้อที่ 32 เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาดำเนินการนำระเบียบวาระการประชุมพิจารณาเรื่องด่วนขึ้นมาพิจารณา”
โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบญัตติดังกล่าวด้วยคะแนน 474 ต่อ 127 เสียง งดออกเสียง 39 เสียง ไม่ลงคะแนน 5 เสียง ส่งผลให้ญัตติอื่นๆ ต้องตกไป จากนั้นเข้าสู่กระบวนการลงมติในวาระ 3
แต่ต่อมานายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นถามนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุมในขณะนั้นว่า ที่ประชุมตกลงให้มีการลงมติวาระ 3 ด้วยการขานชื่อใช่หรือไม่ โดยนายชวนกล่าวว่า ใช่ครับ นายชาดาจึงระบุว่า “ผมคงไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยกับพวกฉ้อฉล ศรีธนญชัย โกหกปลิ้นปล้อน ไร้สาระสิ้นดี นี่คือสภาโจ๊ก” โดยนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาได้กล่าวว่า “อย่าระบุชื่อครับ” จากนั้นนายชาดาพร้อมทั้ง ส.ส.พรรคภูมิใจไทยทั้งพรรคได้วอล์กเอาต์จากห้องประชุม
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้รายงานว่านายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี และรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวย้ำว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ได้เล่นละครตบตาประชาชน เพราะไม่จำเป็นต้องแคร์ใคร และไม่ต้องการรักษาอำนาจให้ใคร และนายชาดายังระบุว่า การเสนอญัตติด่วนของพรรคพลังประชารัฐ โดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน เมื่อวานนี้ (17 มี.ค.) ไม่มีใครรู้มาก่อน เป็นการเสนอกลางอากาศ โดยอาศัยเสียงข้างมากโหวตบีบให้ญัตติก่อนหน้านี้ที่หารือกันกว่า 9 ชม.ต้องตกไป ส่วนตัวมองว่าการใช้เกมแบบนี้มันไม่ถูกต้อง
นายไพบูลย์กล่าวต่อว่า ย่อมแสดงว่าการที่นายชาดากล่าวในที่ประชุมรัฐสภาว่า “ผมคงไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยกับพวกฉ้อฉล ศรีธนญชัย โกหกปลิ้นปล้อน ไร้สาระสิ้นดี นี่คือสภาโจ๊ก” นั้นหมายถึงตนโดยตรง และรวมถึง ส.ส.และ ส.ว.จำนวน 474 คนที่ร่วมออกเสียงเห็นด้วยกับญัตติที่ตนเสนอ
นายไพบูลย์กล่าวว่า การกระทำของนายชาดากล่าวหาใส่ความให้ร้าย ทำให้ตนและ ส.ส.และ ส.ว.474 คน เสียหายต่อชื่อเสียง และยังประณามรัฐสภาว่าเป็นสภาโจ๊ก ทำให้นายชาดามีปัญหาตามข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ข้อที่ 12 “สมาชิกและกรรมาธิการต้องเคารพสิทธิ เสรีภาพส่วนบุคคลของผู้อื่น ไม่แสดงกิริยาหรือใช้วาจาอันไม่สุภาพ มีลักษณะเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท เสียดสีหรือใส่ร้ายป้ายสีบุคคลใด หรือนำเอาเรื่องที่เป็นเท็จมาอภิปรายแสดงความเห็นในที่ประชุม หรือที่อื่นใด” และการที่นายชาดากล่าวอ้างว่าวิปรัฐบาลไม่ได้มีการบอกล่วงหน้าว่าตนจะเสนอญัตติดังกล่าว ตนได้ทราบจากนายวิรัชก่อนล่วงหน้าแล้วว่าวิปรัฐบาลปล่อยให้แต่ละพรรคดำเนินการตามอิสระ ไม่มีมติวิปรัฐบาลใดๆ จะเห็นได้จากการที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอญัตติด้วยวาจาขอให้รัฐสภาส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ก็ไม่ได้มีการแจ้งขอมติวิปรัฐบาลแต่อย่างใด
ดังนั้น ตนในฐานะผู้เสียหายจากการกระทำของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี และรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จึงขอเรียกร้องให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย สอบสวนการกระทำของนายชาดาด้วยเหตุมีการกล่าวหาใส่ความสมาชิก ส.ส.และ ส.ว. ว่า “ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยกับพวกฉ้อฉล ศรีธนญชัย โกหกปลิ้นปล้อน ไร้สาระสิ้นดี นี่คือสภาโจ๊ก” การกระทำดังกล่าวมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อชื่อเสียงของ ส.ส.และ ส.ว.474 คน และรัฐสภา
นายไพบูลย์กล่าวต่อว่า ตนจึงเรียกร้องมายังหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยว่า พรรคภูมิใจไทยจะออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างใด รวมทั้งขอให้ดำเนินการตามมาตรฐานในการดูแลควบคุมสมาชิกพรรคให้มีจริยธรรมและมารยาททางการเมืองด้วย