xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” หนุนโหวตวาระ 3 แก้ รธน.ไม่ขัดคำวินิจฉัย สงสัยขัดหลักการยกอำนาจนิติฯ ให้ฝ่ายบริหาร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี (แฟ้มภาพ)
“อภิสิทธิ์” แนะโหวตวาระ 3 ร่างแก้ รธน.ไม่ขัดคำวินิจฉัยศาล ชี้สภาไร้อำนาจทำประชามติก่อนแก้ ม. 256 เหตุเป็นอำนาจ ครม.ตาม ม.166 สงสัยยกอำนาจนิติฯ ให้ฝ่ายบริหาร ขัดหลักการหรือไม่ ฝากผู้นำซื่อสัตย์ ดันแก้ รธน.เต็มที่ หลังคน รบ.ทำสะดุดถี่

วันนี้ (15 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมีการตีความแตกต่างกันเกี่ยวกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ชี้ขาดว่าสมาชิกรัฐสภามีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้ แต่ต้องทำประชามติทั้งก่อนและหลังร่างรัฐธรรมนูญใหม่ว่า แม้ต้องรอคำวินิจฉัยกลางก่อน แต่หลังจากอ่านคำวินิจฉัยแล้วไม่คิดว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้จะมีปัญหา เพราะทุกคนมองตรงกันว่าอำนาจการสถาปนารัฐธรรมนูญซึ่งอาจจะครอบคลุมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แม้จะไม่ครบทุกหมวดก็ตามเป็นของประชาชน สิ่งที่รัฐสภากำลังดำเนินการมาจนถึงการโหวตวาระ 3 ยังไม่ใช่การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อบอกว่าจะมีกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่อย่างไรเท่านั้น การทำรัฐธรรมนูญใหม่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการลงประชามติหลังโหวตวาระ 3 ซึ่งตรงกับคำวินิจฉัยที่ให้ทำประชามติก่อนมีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ว่าประชาชนต้องการให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ อีกทั้งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก็กำหนดไว้ว่า เมื่อ ส.ส.ร.ร่างเสร็จต้องไปทำประชามติอีกครั้ง ซึ่งก็ตรงกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ทำประชามติหลังร่างเสร็จ

“ผมมีข้อสังเกตว่า การพยายามตีความว่าต้องทำประชามติอีกครั้งเพิ่มขึ้นก่อนมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ทำให้เกิดคำถามว่าอำนาจแก้รัฐธรรมนูญเป็นของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่การทำประชามติตามรัฐธรรมนูญทำได้สองวิธี คือ ทำตามมาตรา 256 ที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ และมาตรา 166 ซึ่งเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี ดังนั้น ใครที่ตีความว่าสภาต้องถามประชาชนก่อน ผมมีคำถามว่าสภาจะเอาอำนาจอะไรไปทำประชามติ และถ้าบอกสภาไม่ต้องทำ ครม.ทำ ก็มีคำถามว่าโดยหลักการสภาบังคับ ครม.ได้หรือไม่ และถ้า ครม.บอกว่าไม่ทำ ก็มีคำถามอีกว่าไม่เป็นการผิดหลักการหรือ เพราะกลายเป็นว่าอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติไปอยู่ในมือของ ครม. ผมจึงเชื่อว่าการไปตีความว่าต้องทำประชามติอีกครั้งไม่สอดคล้องกับโครงสร้างของรัฐธรรมนูญ” นายอภิสิทธิ์กล่าว

อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ต้นทุนที่ต้องจ่ายจากความพยายามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองแบบนี้ มีทั้งอาจต้องทำประชามติถึงส 3 ครั้ง ซึ่งอาจผ่านส 2 ครั้ง ครั้งสุดท้ายไม่ผ่าน ในที่สุดเท่ากับมีความสิ้นเปลืองไม่ใช่แค่งบประมาณ แต่ยังสร้างความขัดแย้งที่ไม่เป็นประโยชน์กับใครด้วย ดังนั้นจึงคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญควรทำความชัดเจนก่อนสภาลงมติในวาระ 3 น่าจะเป็นทางเดินที่ดีที่สุด เพื่อลดปัญหา ขณะที่ผู้มีอำนาจในปัจจุบันต้องยึดมั่นในสิ่งที่แถลงนโยบายกับสภา เหมือนผู้นำในต่างประเทศเขาทำกัน เพราะกำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วน ผู้นำรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลต้องแสดงความชัดเจนจริงใจมากกว่าที่เป็นอยู่ สนับสนุนทุกขั้นตอน นายกฯ ซึ่งมีฐานะพิเศษจากโครงสร้างรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ที่ประชาชนมองว่าท่านมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของวุฒิสภาได้ ถ้าจริงใจและซื่อสัตย์ต่อการแถลงนโญบายของตัวเอง ต้องแสดงท่าทีที่ชัดเจนออกมา

“ผมอยากเห็นไม่ใช่แค่พรรคประชาธิปัตย์ แต่พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค เดินหน้าตามนโยบายของรัฐบาล แสดงท่าทีที่จริงจัง เพราะต้องไม่ลืมว่าทุกครั้งที่การจัดทำรัฐธรรมนูญมีเหตุต้องสะดุดหยุดลง ล้วนมาจากการกระทำของฝ่ายรัฐบาลทั้งสิ้น ที่สำคัญคือในการลงมติวาระที่หนึ่ง มีรัฐมนตรีลงมติสวนทางกับนโยบายรัฐบาลแต่กลับไม่มีปฏิกริยาใดๆ ทั้งสิ้นจากทั้งผู้นำรัฐบาลและพรรคที่ร่วมรัฐบาล เป็นตัวฟ้องถึงความจริงใจของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จึงหวังว่าในช่วงเวลาหลังจากนี้จะใช้เวทีสภาลดความขัดแย้งทางการเมือง ดึงให้ประชาชนมีส่วนร่วมออกแบบการเมืองที่เป็นที่ยอมรับ มีความยั่งยืนต่อไปในอนาคต” อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น