“ประยุทธ์” ย้ำ วัคซีนล็อตแรกมาแน่ปลาย ก.พ. ฉีดเข็มแรกใน 3 วัน เผย อย.ขึ้นทะเบียนแอสตราเซเนกา รอต่อคิวหลายบริษัท ไม่ปิดกั้นเอกชนนำเข้า แต่ต้องอยู่ภายใต้แผนการฉีดของรัฐ เพื่อความปลอดภัย แนะฉีดแล้วยังต้องใส่หน้ากาก-เว้นระยะ ควบคู่ด้วย
วันนี้ (15 ก.พ.) เมื่อเวลา 13.20 น. ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้าวัคซีน ยืนยันว่า จะได้รับมาล็อตแรก 2 แสนโดสก่อน จะมาสัปดาห์สุดท้ายปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้แน่นอน และเมื่อมาถึงประเทศไทยแล้ว ก็จะใช้เวลาประมาณ 3 วัน ในการเตรียมการฉีดเข็มแรก และได้มีการกำหนดกลุ่มในการฉีดไว้แล้ว แต่ละชนิดของวัคซีนจะมีข้อบัญญัติไว้ชัดเจนว่าจะฉีดในกลุ่มไหน อายุเท่าไหร่ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบอื่นๆ ตามมา ขอให้รออีกนิด แล้วทาง ศบค.จะชี้แจงให้ทราบต่อไป สำหรับล็อตที่สอง 8 แสนโดส และล็อตที่สามอีก 1 ล้านโดส ก็จะตามมา โดยส่วนหนึ่งจะนำมาฉีดเข็มที่ 2 ของกลุ่มระยะแรก และที่เหลือก็จะเป็นระยะที่หนึ่งของคนอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็จะต้องพิจารณาให้ครบทุกกลุ่ม
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนได้เน้นย้ำไปว่าให้ดูในส่วนของพื้นที่เสี่ยงเป็นหลัก นอกจากบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ยังมีประชาชนกลุ่มเสี่ยง ทั้งกลุ่มแรงงานและในพื้นที่ท่องเที่ยวด้วย ซึ่งคนที่ได้รับการฉีดไปแล้วก็จะปลอดภัยในระดับหนึ่ง ส่วนที่เหลือนั้นก็คงต้องรอจนกว่าจะฉีดให้ครบในจำนวนวัคซีนที่ทยอยได้รับมา ก็ขอให้ทุกคนยังคงต้องระมัดระวัง ใช้หน้ากากอนามัย และ Social Distancing ควบคู่ไปด้วย เพราะจะสามารถป้องกันได้ในระดับที่ดีพอสมควร ใครได้รับวัคซีนหรือยังไม่ได้รับก็ยังคงต้องใส่หน้ากากอยู่ สำหรับในส่วนของแอสตราเซเนกา 26 ล้านโดส จะเข้ามาประมาณเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน และอีก 35 ล้านโดส ก็จะตามมา ซึ่งเราต้องกำหนดเป้าหมายการฉีดให้ต่อเนื่อง สอดคล้องกัน
นายกฯ กล่าวต่อว่า สำหรับความก้าวหน้าของการขึ้นทะเบียนวัคซีน วันนี้ทางองค์การอาหารและยา (อย.) ได้ขึ้นทะเบียนให้กับแอสตราเซเนกาแล้ว ของซิโนแวกกำลังดำเนินการ น่าจะทันก่อนวัคซีนล็อตแรกจะเข้ามา ส่วนที่กำลังมาขอขึ้นทะเบียนได้แก่จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อยู่ในขั้นตอนส่งเอกสารมา ซึ่งยังไม่ครบ ส่วน โมเดิร์นนา ไฟเซอร์ ได้มาพูดคุย แต่ยังไม่ได้ส่งเอกสารมา แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็พร้อมหากมีความร่วมมือกันได้ตรงนี้ เราไม่ได้ปิดกั้นใครทั้งสิ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเคสที่เรียกว่า อิเมอเจนซียูธ คือ ใช้ในสถานการฉุกเฉิน เพราะมันจำเป็นที่ว่าใครจะขอนำเข้าก็ต้องมาขอ อย. และที่สำคัญที่สุดคือต้องฉีดตามแผนการฉีดวัคซีนของรัฐที่กำหนดไว้ในขั้นต้น ซึ่งอาจจะมี ภาคเอกชน รพ.เอกชน สั่งมาได้ ซื้อมาได้ก็ตาม แต่ต้องอยู่ในแผนการฉีดของรัฐ ซึ่งถือเป็นทางเลือกให้กับประชาชนที่มีรายได้สูงหรือผู้ที่ต้องการจะฉีดให้เร็วขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องอยู่ในแผนการฉีดวัคซีนของรัฐ ต้องอยู่ในข้อกำหนดว่ากลุ่มไหน อย่างไร อันนี้เพื่อความปลอดภัยของทุกคน รัฐบาลมุ่งเน้นในเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะเป็นห่วงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น