ปธ.ผู้ตรวจการแผ่นดิน ประชุมร่วม 4 หน่วยงานรัฐ ชง มท.แก้ระเบียบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุใน 120 วัน ชี้เจตนา กม.บำนาญพิเศษหวังตอบแทนคนทำคุณแผ่นดิน ถือเป็นเงินคนละก้อน
วันนี้ (5 ก.พ.) พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นประธานประชุมร่วมกับผู้แทนกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนกรณีการเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ได้รับซ้ำซ้อนกับเงินบำนาญพิเศษ หลังการประชุมพล.อ.วิทวัสกล่าวว่า กรณีดังกล่าวมีการร้องเรียนและผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่ามีผู้สูงอายุได้รับความเดือดร้อนถูกเรียกเงินคืนจำนวนมาก จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและหาทางออกร่วมกัน จากข้อมูลพบตาม พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญ 2494 มีการระบุถึงเงินบำนาญพิเศษ ว่าเป็นเงินพิเศษที่รัฐมีเจตนารมณ์ให้แก่ข้าราชการที่ไปปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองจนตนเองได้รับอุบัติเหตุ ทุพพลภาพ พิการ หรือเสียชีวิต นอกเหนือจากเงินบำเหน็จบำนาญตามระบบปกติที่ได้รับ และหากเสียชีวิตก็จะตกทอดบุคคลในครอบครัวแบบนี้ เงื่อนไขเงินบำนาญพิเศษจึงถือเป็นเงินคนละก้อนกับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งประชาชนมีสิทธิที่จะได้รับเงินทั้ง 2 ก้อน
ดังนั้น ในการประชุมวันนี้ทางผู้ตรวจการแผ่นดินจึงอาศัยมาตรา 33 ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน 2560 มีข้อเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2552 ให้คนที่ได้รับเงินบำนาญพิเศษได้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุด้วย โดยให้ดำเนินการภายใน 120 วัน และกำหนดบทเฉพาะกาลให้ผู้ที่รับเงินไปแล้ว ถือเป็นการได้โดยสุจริตโดยนำคำพิพากษาศาลฎีกาหมายเลขคดี ที่ 10850 มาเทียบเคียง ถือว่าเป็นลาภที่ไม่ควรได้ ก็ไม่ต้องไปเรียกเงินคืนจากบุคคลนั้นๆ ส่วนบุคคลที่นำเงินมาคืนภาครัฐแล้วก็ถือว่าได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะมาคืน ไม่ได้อยู่ในฐานะที่เดือดร้อน หรือเป็นผู้มีรายได้น้อย จึงไม่ขอรับเงินก้อนนี้ แต่ทั้งนี้เมื่อมีการแก้ไขระเบียบแล้วหากบุคคลใดที่ได้รับเงินบำนาญพิเศษอยู่แล้วเห็นว่าตนเองมีสิทธิที่จะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุด้วยก็สามารถไปยื่นแสดงความจำนงได้