โฆษกรัฐบาล เผย ครม.เห็นชอบกรอบวงเงิน 3,283.10 ล้านบาท ในการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปกของไทยในปี 2565 พร้อมรับทราบผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 27 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ (26 ม.ค.) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบกรอบวงเงินในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปกของไทยในปี 2565 รวมทั้งสิ้น 3,283.10 ล้านบาท โดยมาจากงบรายจ่ายปี 2565 จำนวน 2,342.28 ล้านบาท และงบรายจ่ายปี 66 จำนวน 940.82 ล้านบาท โดยขอให้แต่ละหน่วยงานจะพิจารณาความจำเป็น เหมาะสมของภารกิจและวงเงินที่จะใช้ในการดำเนินการให้รอบคอบ รัดกุม และไม่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณมากเกินความจำเป็นด้วย ทั้งนี้ ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปกฯ และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ในช่วงเดือนธันวาคม 2564 - พฤศจิกายน 2565 ทั้งสิ้นถึง 15 การประชุม ประกอบด้วย การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส 5 ครั้ง การประชุมระดับรัฐมนตรี 9 ครั้ง และการประชุมระดับผู้นำ 1 ครั้ง นอกจากนี้ ยังมีการประชุมและ/หรือกิจกรรมอื่นๆ เพิ่มเติมตามที่ส่วนราชการจะเป็นเจ้าภาพ เช่น การจัดกิจกรรมสัปดาห์ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security Week) และการดำเนินโครงการโรงเรียนเครือข่ายเอเปก เป็นต้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังย้ำถึงโอกาสสำคัญที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปก ในปี 2565 ว่า จะเป็น “ยุคปกติใหม่” ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของโลก ทำให้ไทยสามารถส่งเสริมประเด็นที่ไทยได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงความมั่นคงทางอาหารและการเกษตร ในบทบาทที่ไทยเป็นผู้ผลิตอาหารให้แก่โลก รวมทั้งการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะนำไปสู่การพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืนด้วย
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 27 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกลระหว่างวันที่ 16-20 พฤศจิกายน 2563 ได้มีการหารือประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชีย-แปชิฟิก เช่น การร่วมมือกันต่อสู้ บรรเทา และฟื้นฟูภูมิภาคจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งจะเร่งรัดการพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และราคาเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม, อำนวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายสินค้า เวชภัณฑ์ บริการด้านการแพทย์และบุคลากรที่จำเป็น, อนาคตของเอเปกภายหลังการสิ้นสุดของเป้าหมายโบกอร์ เพื่อสร้างภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่เปิดกว้างมีพลวัตพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงและมีสันติภาพ ภายใน ค.ศ. 2040, การส่งเสริมการค้าและการลงทุนเสรีเปิดกว้าง เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติโปร่งใส และคาดการณ์ได้, การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล, การสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและยั่งยืน โดยคณะรัฐมนตรียังมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 27 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเผยว่า ไทยจะได้รับประโยชน์จากความร่วมมือของเอเปก ในการรับมือกับโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่น การช่วยเหลือนักธุรกิจและ MSMEs การสนับสนุนการเพิ่มการเข้าถึงยา เวชภัณฑ์และสินค้าที่จำเป็นของประชาชน รวมทั้งผลประโยชน์อื่นๆ จากนโยบายที่เอเปกผลักดัน เช่น การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตและเข้าถึงตลาดโลก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ความเชื่อมโยงด้านกฎระเบียบ การส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงในระบบเศรษฐกิจอีกด้วย