xs
xsm
sm
md
lg

“อลงกรณ์” หนุนรัฐบาลเดินหน้าโครงการทวาย แนะ 3 ออปชันคุยพม่าดันกาญจนบุรีเป็นฮับโลจิสติกส์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รอง หน.ปชป.หนุนรัฐบาลเดินหน้าโครงการทวาย มั่นใจเริ่มวันนี้เพื่ออนาคตหลังยุคโควิด แนะ 3 ออปชันเจรจาพม่าร่วมไทยเปิดประตูตะวันตกดันกาญจนบุรีเป็นฮับโลจิสติกส์มุ่งตลาดเอเชียใต้-ตะวันออกกลาง-แอฟริกา-ยุโรป

วันนี้ (24 ม.ค.) นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค กล่าวให้ความเห็นเกี่ยวกับกรณีบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) คู่สัญญากลุ่มธุรกิจร่วมทุนภายใต้บริษัทจดทะเบียนในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ถูกบอกเลิกสัญญาจากคณะกรรมการบริหารงานพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา หรือ Dawai Special Economic Zone Management Committee : DSEZMC ว่า การยกเลิกสัญญาบริษัท อิตาเลียนไทย ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลเมียนมายกเลิกโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย เพียงแต่เป็นการรีเซตโครงการเท่านั้น ตนเห็นด้วยที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฯ เสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เจรจากับรัฐบาลเมียนมาเพื่อเดินหน้าโครงการทวายต่อไป และนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง เป็นผู้เจรจา เพราะนายอาคมรู้ลึกถึงโครงการนี้ตั้งแต่โครงการเริ่มตั้งไข่ ทั้งนี้ สมัยที่ตนเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาโลจิสติกส์การค้า และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้วางนโยบาย 3 วงแหวน 5 ประตู โดยในส่วนการเปิดประตูตะวันตกที่กาญจนบุรีได้เจรจากับรัฐบาลเมียนมาจนเปิดด่านสากลระหว่าง 2 ประเทศ ที่ จ.กาญจนบุรี ได้สำเร็จ รวมทั้งเส้นทางโลจิสติกส์สู่ท่าเรือน้ำลึกทวายซึ่งรัฐบาลต่อๆ มาได้สานต่อการพัฒนาถนนมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี และถนนจากกาญจนบุรีถึงทวายเพื่อเป็นเส้นทางเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษและท่าเรือน้ำลึกทวายเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของความเชื่อมโยงทาง เศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ในภูมิภาค โดยระหว่างปี 2552-2554 ตนได้นำคณะไปสำรวจพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและเส้นทางเชื่อมกาญจนบุรีกับทวาย โดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง ซึ่งตอนนั้นเป็นรองเลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจฯ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการร่วมคณะไปด้วยทุกครั้ง

นายอลงกรณ์กล่าวย้ำว่า โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษและท่าเรือน้ำลึกทวายเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย และอาเซียน เพราะเป็นเส้นทางโลจิสติกส์ฝั่งตะวันตกของไทย ซึ่งวางกาญจนบุรีเป็นประตูตะวันตกและโลจิสติกส์ฮับเชื่อมโยงแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (SEC) ระหว่างเมียนมา-ไทย-กัมพูชา-เวียดนาม สู่ตลาด 3 ทวีป คือ เอเซียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป โดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา ช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งการท่องเที่ยวก็ได้ประโยชน์อย่างมาก จึงต้องเร่งเจรจาเพื่อเดินหน้าโครงการนี้ต่อ เราต้องเริ่มวันนี้เพื่ออนาคตยุคหลังโควิด (Post COVID 19) และขอเสนอแนะแนวทางการเจรจา 3 ประการเป็นกรอบและเป้าหมายระยะเร่งด่วนในช่วงรีเซตโครงการกับรัฐบาลเมียนมา ดังนี้

1. เร่งพัฒนาเส้นทางโลจิสติกส์ทั้งระบบถนน รางรถไฟ เครื่องบิน และการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย เชื่อมโยงจีน เวียดนาม ลาว กัมพูชา ไทย และพม่า สู่ตลาดเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป เนื่องจากได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมามากแล้ว 2. เปิดกว้างการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมของไทยลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมกาญจนบุรีและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ภายใต้การพัฒนาร่วมระเบียงเศรษฐกิจตะวันตก (Western Economic Corridor) กับระเบียงเศรษฐกิจใต้ของเมียนมา 3. ดึงความร่วมมือจากจีน ญี่ปุ่น อินเดีย ตะวันออกกลาง เวียดนาม ลาว และกัมพูชามาสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากโครงการนี้โดยเฉพาะด้านการขนส่งโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว

การพัฒนาในช่วงรีเซตโครงการโดยเร่งพัฒนาตามแนวทางดังกล่าวจะทำได้เร็วและเกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย โดยมีไทยและเมียนมาเป็นแกนนำการขับเคลื่อน ข้อเสนอนี้ยังสอดคล้องกับแผนแม่บทการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งของอาเซียน (ASEAN Connectivity) ซึ่งได้รับการผลักดันจากกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงและญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเปิดเส้นทางการค้าและประตูเชื่อมเศรษฐกิจฝั่งตะวันตกแห่งใหม่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Greater Mekong Sub-region : GMS) โดยท่าเรือน้ำลึกทวายจะเป็นประตูการค้าฝั่งตะวันตกของภูมิภาค สร้างทางลัดโลจิสติกส์เชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียนกับโลกตะวันออกและโลกตะวันตก 


กำลังโหลดความคิดเห็น