เมืองไทย 360 องศา
ก็ถือว่าเป็นอีกครั้งที่เท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว สำหรับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ออกมา “ปล่อยไก่” หรือแม้กระทั่งการพูดในลักษณะ “บิดเบือนความจริง” จะด้วยความไม่รู้ รู้น้อย หรือมีเจตนาเพื่อให้เกิดผลบางอย่างตามมา แต่ทุกครั้งก็ถูกตอกหน้า ถูกเปิดโปงกลับไปแบบหงายท้องทุกที แต่สำหรับคราวนี้อาจจะถือว่า “หนักกว่าทุกครั้ง” เพราะเป็นลักษณะที่เข้าข่ายที่ทำให้เข้าใจได้ว่า ต้องการทำร้าย “สถาบันพระมหากษัตริย์” กันเลยทีเดียว
ล่าสุด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้มอบหมายตัวแทนเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในความผิดตามมาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ไลฟ์สดในหัวข้อว่า “วัคซีนพระราชทานใครได้ใครเสีย” ที่มีเนื้อหาบิดเบือนความจริง และมีเจตนาส่อไปในทางให้กระทบกับสถาบันฯ และให้สังคมเข้าใจผิด
นายทศพล เพ็งส้ม หนึ่งในฝ่ายกฎหมายที่ไปแจ้งความดำเนินคดีในครั้งนี้ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ให้มาแจ้งความเอาผิดต่อ นายธนาธร จากการวิจารณ์รัฐบาลเรื่องการนำเข้าการผลิตวัคซีน โดยได้แกะคลิปวิดีโอไลฟ์กว่า 30 นาที ไล่ตั้งแต่ นาทีที่ 03.20 น. รวมแล้ว 11 ช่วงตอน ที่กล่าวหารัฐบาลเรื่องประสิทธิภาพ การผลิตล่าช้า และนำสถาบันฯเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องการถือหุ้นบริษัท เป็นการนำประชาชนมาเป็นตัวประกัน จึงแจ้งความผิดในข้อหาตาม มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เนื่องจากเป็นการสร้างความบิดเบือน เข้าใจผิดต่อสังคม ซึ่งภาครัฐได้ชี้แจงในประเด็นต่างๆ ไปแล้ว
นอกจากนี้ หากพบว่ามีใครเกี่ยวข้องอีก ก็จะดำเนินคดีทั้งหมด โดยจะติดตามการทำงานของพนักงานสอบสวนอย่างใกล้ชิด ส่วนกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตั้งคำถามเรื่องงบประมาณเกี่ยวกับวัคซีนนั้น ตนมองว่า การชี้นำกับการตั้งคำถามนั้น ต่างกัน กรณีนี้เป็นการชี้นำให้เกิดความเข้าใจผิด
แน่นอนว่า เนื้อหาหลักๆ เชื่อว่า หลายคนคงรับรู้ไปแล้ว โดยเป้าหมายหลักที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีเจตนาพูดถึงก็คือ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตยา ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงก่อตั้งขึ้นมาเพื่อให้ผลิตยาคุณภาพเพื่อคนไทย เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงยาคุณภาพราคาไม่แพง และลดการนำเข้ายาราคาแพงจากต่างประเทศ ที่สำคัญ เป็นบริษัทยาที่ไม่หวังผลกำไร ซึ่งไม่ต้องแปลกใจที่บริษัทดังกล่าวนี้ ประสบกับภาวะขาดทุนมาตลอด
ขณะเดียวกัน บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทผู้ผลิต คือ บริษัท แอสตราเซเนกา ซึ่งเป็นเจ้าของวัคซีนต้านโควิด โดยว่าจ้างให้ผลิตจำนวนปีละ 200 ล้านโดส และรัฐบาลก็ได้สั่งซื้อจากแอสตราเซเนกา ตามข้อตกลงคือ 26 ล้านโดส และเพิ่มเติมอีก 35 ล้านโดส
นอกเหนือจากนี้ รัฐบาลยังได้กระจายสั่งซื้อจากบริษัทอื่นอีก เช่น ของจีนจากซิโนแวค อีก 2 ล้านโดส ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีการชี้แจงจากทางฝ่ายคณะแพทย์ระบุว่า สาเหตุที่ต้องสั่งซื้อจากบริษัทดังกล่าวจำนวนมาก เนื่องจากใช้เทคโนโลยี่ที่คุ้นชิน และเก็บรักษาง่ายกว่า นั่นคือ วัคซีนจากสองบริษัทดังกล่าวสามารถเก็บรักษาในอุณหภูมิตู้เย็น 2-8 องศา ทั้งเก็บรักษาและขนส่งไปทั่วประเทศได้ง่าย
ขณะที่วัคซีนของ ไฟเซอร์ โมเดอร์นา ต้องเก็บที่อุณหภูมิ -70 และ -20 องศา ซึ่งเป็นเรื่องยากในการเก็บรักษา และการขนส่งในประเทศไทยจากปัญหาในเรื่องของอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูง นั่นจึงเป็นคำตอบว่า ทำไมถึงได้เน้นสั่งซื้อไปกับสองยี่ห้อดังกล่าว ไม่ใช่เจตนาผูกขาด รวมไปถึงการกล่าวหาบิดเบือนในเรื่อง “การทำธุรกิจ” ที่ถือว่ามีเจตนากล่าวหาให้เกิดความเข้าใจผิดในแบบที่เรียกว่า “ด้าน” ที่สุดเลยก็ว่าได้
แต่ก็อย่างว่าแหละ งานนี้เหมือนกับว่าโดนแรงสะท้อนกลับเข้ามาหา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เต็มๆ เพราะเมื่อมีการชี้แจงจากทุกฝ่ายตามความจริงที่ชี้แจงได้ไม่ยาก ก็ทำให้นายธนาธร ต้อง “เปลือยกายออกมาล่อนจ้อน” ว่า เขามีเจตนาบิดเบือนเพื่อใส่ร้ายสถาบันฯ ทั้งที่ตัวเองและคนในครอบครัวล้วนมีแต่เรื่องอื้อฉาว ถูกกล่าวหาแต่เรื่องทุจริตฉ้อฉล ดังที่ทราบกันดี
ดังนั้น หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในครั้งนี้ หากจะมองว่ามีเจตนาเพื่อปลุกเร้า “ม็อบสามนิ้ว” ให้ออกมาอีกครั้ง หลังจากได้เห็นกิจกรรมแปลกๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่เกี่ยวเนื่องกับการเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 เป็นต้น รวมไปถึงการสร้างกระแสเพื่อรองรับการเลือกตั้งท้องถิ่นในระดับเทศบาลทั่วประเทศในปลายเดือนมีนาคม ที่คนพวกนี้จะส่งคนลงสมัครอีกครั้ง หลังจากล้มเหลวจากการเลือกตั้งระดับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มาแล้ว แต่กลายเป็นว่า “มุกแป้ก”
มิหนำซ้ำ ยังสร้างผลกระทบในทางลบกลับมาอย่างรุนแรงเสียอีก ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันในสถานการณ์ความเป็นจริงแล้ว กระแสของพวก “ม็อบสามนิ้ว” ก็ทำท่า “ลงแบบรูด” ก็ยิ่งไปกันใหญ่
ถึงได้บอกว่า สำหรับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คงไม่สามารถนำการเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพราะเมื่อพิจารณาจากคำพูดที่นอกจากไม่ใช่ลักษณะนักพูด นักปราศรัย ในทางความคิดก็ไม่ได้โดดเด่น ไม่ได้ล้ำสมัย ไม่เคยพิสูจน์ให้เห็นว่าประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีแต่พยายามสร้าง “ปมเด่น” แบบกิจกรรมนักศึกษาบางพวกที่เคยทำสมัยเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยเท่านั้น !!