ข่าวปนคน คนปนข่าว
**บ่อน กับ 100 นายกฯ ลุงตู่ว่าแก้ไม่ได้ (ไม่อยากแก้) แต่วันนี้ “กรณ์” มีทางแก้ให้เปลี่ยนส่วยให้เป็นภาษี..ดีมั้ย?
ปมปัญหาบ่อน หลัง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดออกมาในทำนองถอดใจว่า ต่อให้ 100 นายกฯ ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ทำให้หลายฝ่ายออกมารุมยำ ภาวะผู้นำของ “ลุงตู่” ที่หากนายกฯที่มีหน้าที่แก้ไขปัญหาบ้านเมืองไม่แก้ไข และจะมีนายกฯไปทำไม
เรื่องนี้มองกันให้ดีๆ ที่นายกฯว่าแก้ไม่ได้นั้น จริงหรือ? หรือเพียงเพราะว่า ไม่อยากแก้กันแน่ !!
อันว่า “แก้ไม่ได้” ด้วยเหตุผลว่า บ่อนพนันฝังรากลึกอยู่คู่สังคมมานาน โดยที่นิสัยคนไทยก็ชอบเล่นพนันขันต่อ ห้ามได้ยาก แม้แต่เกิดโควิดระบาดหนักก็ยังลักลอบเปิด ลักลอบเล่น จนตำรวจจับกันไม่ไหว แต่เรื่องนี้ก็มีคำถามย้อนกลับว่า ถ้าจะแก้กันจริงๆ ทำไมจะทำไม่ได้ ?
เอาเฉพาะ “บ่อนระยอง” ที่เป็นต้นตอโควิดระลอกใหม่ รู้ทั้งรู้ว่า “หลงจู๊สมชาย” เป็นเจ้าของบ่อน นายกฯลุงตู่ ผู้ซึ่งมาจากทหาร รับราชการอยู่ฝ่ายความมั่นคงมานาน โดยเฉพาะถิ่น “บูรพา” ภาคตะวันออก หลับตาก็ยังเดินถูก ไม่รู้เชียวหรือว่าเส้นสนกลในธุรกิจสีเทา เจ้าพ่อ เจ้ามือบ่อนใหญ่ๆ มีใครบ้าง และ ใครจ่ายส่วย ใครรับส่วย ซึ่งก็แน่นอนการจะเปิดบ่อนได้ต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐรับส่วย โดยเฉพาะตำรวจ
ขบวนการจ่ายส่วย ให้สัมปทาน แต่ละวัน เดือน ปี ว่ากันว่า ธุรกิจพนันมีเงินหมุนเวียนจำนวนมหาศาล เกี่ยวพันกับการโยกย้ายข้าราชการและผลประโยชน์ตามมาของคนมีสี
ที่ผ่านมา ใครได้ประโยชน์จากส่วยบ่อน ?... ระดับนายกฯ หรือ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร ย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
หาก “ลุงตู่” เอาจริง ไม่หวั่นเกรงจะไปกระทบใคร ในฐานะประธาน ก.ตร สั่งการ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร ลุยเต็มที่ มีหรือจะปล่อยให้คนทำผิดกฎหมายลอยนวล
งานนี้ต่อให้ 100 หลงจู๊สมชายก็อยู่ไม่ได้ !!
ฉะนั้น วิธีแก้ปัญหาบ่อนให้ตรงจุดที่สุด ก็คือ การเอาผิดคนให้ส่วยและคนรับส่วย ลากคอมาลงโทษให้หนัก เพราะบ่อนเป็นตัวการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน-ธุรกิจพังพินาศ ร้านค้า ร้านอาหาร โรงงาน โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว เสียหายหลายแสนล้านจากโควิดระลอกนี้
นี่ต่างหากที่ประชาชนในพื้นที่ ระยอง-ชลบุรี เรียกร้องอยู่ทุกวัน และคนทั้งประเทศก็อยากเห็นความเด็ดขาดจากรัฐบาล จัดการกับเจ้าของบ่อนระยอง ให้เป็นตัวอย่าง แล้วบ่อนอื่นๆ ทั่วประเทศ ก็จะอยู่ในการควบคุมของรัฐหรือไม่กล้าที่จะเปิด อย่างน้อยก็ช่วงที่โควิดระบาด
ขณะเดียวกัน ถ้าจะแก้ปัญหาโดยไปกันให้สุดซอย แก้แบบหักดิบ กล้าที่จะทลายผลประโยชน์คนจ่ายส่วยรับส่วย ด้วยการเปลี่ยนธุรกิจใต้ดินเป็นบนดิน วันนี้ก็มีคนเสนอทางออกมาแล้ว
ดังที่ “กรณ์ จาติกวณิช” หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า นายกฯคนเดียวก็แก้ได้ ถ้ากล้าเอาไว้ “บนโต๊ะ” เปลี่ยนส่วยเป็นภาษี นำเม็ดเงินกลับมาใช้เพื่อประชาชน ถ้าพรรคกล้าเป็นรัฐบาลเราจะเอา‘การพนัน’ขึ้นไว้บนโต๊ะเลยครับ ผมคิดว่าวิธีแก้ปัญหาไม่ใช่การขอให้คน “ร่วมมือ” เลิกเล่นการพนัน แต่การทำให้การพนัน “อยู่บนโต๊ะ” โดยมีกฎหมายรองรับ และมีการกำกับดูแล
ปัญหาสังคมเราคือ “บ่อนเถื่อน” ซึ่งเป็นที่มารายได้ของผู้มีอิทธิพล เป็นที่มาของการทุจริตคอร์รัปชันในวงการคนมีเครื่องแบบ การรั่วไหลเงินไปบ่อนถูกกฎหมายในต่างประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหลบๆ ซ่อนๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาการแพร่เชื้อโควิดตามที่ปรากฏ
ดังนั้น ถ้าตั้งโจทย์ให้คนเลิกเล่นการพนัน เราเห็นด้วยกับนายกฯว่า.. ไม่ต้องร้อยนายกฯหรอกครับ-พันนายกฯก็แก้ไม่ได้!!.. แต่นี่คือโจทย์ที่ผิด โจทย์ที่ถูกคือทำอย่างไรให้การเล่นการพนันเป็นภัยต่อสังคมให้น้อยที่สุด
คำตอบคือ การพนันที่มีใบอนุญาตบนโต๊ะอย่างถูกกฎหมาย มีการกำกับดูแลและมีการเสียภาษีให้รัฐเข้าระบบ เพื่อนำเม็ดเงินกลับมาใช้จ่ายดูแลประชาชน แทนการเข้ากระเป๋ามาเฟีย
ถ้าตามนี้ นายกฯคนเดียวที่มีความกล้าทำได้แน่นอนครับ
งานนี้ก็ขึ้นอยู่กับ “ลุงตู่” คิดยังไง จะยอมจำนนกับปัญหาบ่อนด้วยการยืนยันว่า “แก้ไม่ได้” ทั้งๆ ที่แก้ได้ หรือแท้จริงเพียงเพราะไม่อยากแก้ ด้วยความที่ส่วยบ่อนเป็นเนื้อเดียวกับ “Deep state” เครือข่ายอิทธิพลเหนือรัฐตัวจริง
ถึงตรงนี้คงมีแต่ลุงคนเดียวเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ...บ่อน แก้ไม่ได้หรือไม่อยากแก้ !!
**จากภาพ “ชวน” ชงกาแฟ ถูกตัดต่อล้อเลียน ดรามากันในโซเชียลฯจนเป็นเรื่อง งานนี้เกรียนคีย์บอร์ด ขยะโซเชียลฯ มีหนาว !!
กรณีเมื่อวันก่อน ในทวิตเตอร์มีการรีทวีตภาพ “ชวน หลีกภัย” ประธานรัฐสภา กำลังกดปุ่มชงกาแฟจากเครื่องชงกาแฟที่สภาฯ โดยภาพดังกล่าว เริ่มต้นจากการทวีตโดย "ศิริภา อินทวิเชียร" รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมแคปชัน...“อย่าแปลกใจถ้าเจอท่านชวนยืนชงกาแฟอยู่ในครัวที่สภา…ท่านมักจะเดินไปชงกาแฟทานเองเสมอ”
เจตนาก็คงต้องการให้เห็นว่า “ประธานชวน” เป็นคนไม่เรื่องมาก ขนาดชงกาแฟยังชงเอง ไม่ต้องให้เลขาฯหน้าห้องต้องวุ่นวายไปชงให้
เมื่อภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์กันหลากหลาย ทั้งชื่นชม ถากถาง ...บางคนก็ตั้งคำถามทำนองว่า ไม่เห็นจะพิเศษตรงไหน ใครๆก็ชงกาแฟดื่มเองได้ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
แต่ที่ดรามากันจนเป็นเรื่องขึ้นมาก็เพราะมีคนเอาภาพดังกล่าวไปตัดต่อ ล้อเลียน โพสต์ในโซเชียลฯ โดยมีภาพหนึ่งที่กลายเป็นภาพ “ประธานชวน” กำลังถูกผู้หญิงคนหนึ่ง เอาปืนจ่อหัว...ก็เลยเป็นเรื่อง !!
“ราเมศ รัตนะเชวง” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นเลขานุการประธานรัฐสภา ก็ทวีตไปว่า วันนี้ (15 ม.ค.) เวลา 13.30 น.จะไป กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ตัดต่อภาพ “ประธานชวน” จนได้รับความเสียหาย เพราะมีผู้ร้องเรียนเข้ามามากว่าภาพดังกล่าวเป็นการสื่อถึงความรุนแรง เป็นการละเมิดสิทธิ “ประธานรัฐสภา” รวมถึงจะดำเนินคดีกับบุคคลที่โพสต์ข้อความใส่ร้าย หมิ่นประมาท ทั้งในทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ก
เรียกว่าจะกวาดขยะโซเชียลฯ ให้บทเรียนแก่บรรดาเกรียนคีย์บอร์ดทั้งหลายที่มีความสุขกับการให้ร้ายคนอื่น
จากข้อความของ “ราเมศ” ก็เลยกลายเป็นดรามาต่อเนื่อง แบ่งเป็นสองฝ่าย ที่เห็นด้วยก็ว่า อยากให้ดำเนินคดีอย่างจริงจัง เอาให้เข็ดหลาบ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องที่นำภาพประธานสภาฯมาตัดต่อเช่นนี้... ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็ว่า เรื่องแค่นี้ก็จะเอากฎหมายมาจัดการกับประชาชน มันมากเกินไปหรือเปล่า...ทำแล้วประชาชนจะมีความสุข อยู่ดีกินดี ไม่มีบ่อน ไม่มียาเสพติดหรือ
กลายเป็นการโยงเข้าเรื่องการเมือง กระทบชิ่งไปถึงรัฐบาลอีก!!
แน่นอนว่า “ราเมศ” ยอมไม่หยุดเพียงแค่นั้น โพสต์สวนไปว่า “ภาพแบบนี้ทำกับพ่อคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร” ...คุณกระทำต่อคนอื่นก่อน พอเขาใช้สิทธิตามกฎหมาย ก็มาเบี่ยงประเด็น คิดว่าจะใส่ร้ายคนอื่นอย่างไรก็ได้หรือ ...
ก็คงต้องรอดูว่า ถ้าวันนี้ “ราเมศ” ไปที่ ปอท. แจ้งความดำเนินคดี... บรรดาเกรียนคีย์บอร์ดเหล่านี้ก็เตรียมตัวรอรับหมายเรียกได้เลย
สำหรับโทษของการด่า หรือประจานคนอื่นบนสื่อโซเชียลฯ อย่างน้อยจะถูกดำเนินคดีใน 2 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนเรื่องจะจบที่การขอขมา หรือว่าต้องไปขึ้นศาล “ท่านประธานชวน” จะเป็นผู้วินิจฉัย !!