xs
xsm
sm
md
lg

ใครรับผิดชอบ! “พุทธะอิสระ” ยิงตรงเป้า “ปวิน” ซัดพวก “ปิยบุตร” ไม่กล้าเลิก ม.112 “ดร.มานะ” ครวญ “หัวอกพ่อ”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ จากเฟซบุ๊ก หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)
เอาแล้ว “พุทธะอิสระ” จวกพวกอีแอบ ลูกเขาติดคุก ใครรับผิดชอบ “ปวิน” แค้นไม่หาย “ปิยบุตร” ลืมอดีตกลุ่มนิติราษฎร์ ส.ส.สายม็อบ ไม่กล้าเลิก ม.112 “ดร.มานะ” เผยหัวอกพ่อ “กวิ้น” โวยไม่เป็นธรรม โดน 40 คดี เฉพาะ ม.112 ถึง 12 คดี

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (18 ธ.ค. 63) เฟซบุ๊ก หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) ของ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ “พุทธะอิสระ” อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า

“ลูกเขาต้องติดคุก ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ

ภาพ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ “พุทธะอิสระ” จากแฟ้ม
“มีผู้มาเล่าให้ฟังว่า ลูกชายเขาไปร่วมชุมนุม แต่ตอนนี้ถูกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา
ครอบครัว เขากระวนกระวาย ทุกข์ยากเดือดร้อนมาก
จึงฝากมาถามว่า สิ่งที่เกิดกับลูกเขาใครจะรับผิดชอบ

เอ้า บรรดาแกนนำว่าไง
ทอน บุตร ช่อ คณาจารย์ในมหาวิทยาลัย
มีใครจะออกมารับผิดชอบบ้างไหม
พ่อแม่เด็ก เขาฝากถามมา”

ภาพ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ รองศาสตราจารย์ประจำศูนย์วิจัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ผู้ลี้ภัยคดี ม.112 ที่ประเทศญี่ปุ่น โพสต์ข้อความระบุว่า

“เห็นนักการเมือง/ดาราสลิ่มเอา 112 มาไล่จับเด็ก บ้างบอกว่า ให้ลงโทษหนักๆ ไม่ต้องปรานี บ้างคลั่งหนักบอกจะดักรอในโรงหนังถ่ายรูปคนไม่ยืนส่งตำรวจ เมื่อฟังอย่างนี้แล้ว ยังมีนักการเมืองฝ่ายเราไม่ยอมขับเคลื่อนการยกเลิกมาตรา 112 ทางช่องทางรัฐสภา อย่างปิยบุตรที่เคยแคมเปญเรื่องนี้ในนิติราษฎร์ กลับทิ้งประเด็น 112 เพราะกลัวพรรคไม่ได้รับความนิยม ติ่งเลิกพูดได้แล้วว่า ขนาดไม่แตะเจ้ายังโดนขนาดนั้น เหม็นเบื่อ เพราะเด็กๆ มันกล้าแตะกันหมดแล้ว จะต้องลอยตัวอีกนานแค่ไหน โพสต์นี้อยากจะบอกอย่างเดียวว่า มันเป็นความโชคร้ายของการเมืองไทย ที่นักการเมืองสองฝ่ายมีส่วนทำร้ายประชาชน ฝ่ายหนึ่งเอา 112 เล่นงาน อีกฝ่ายก็เพิกเฉยเพราะกลัวไม่ได้คะแนนเสียง”

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก “มานะ ตรีรยาภิวัฒน์” ของ ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองอธิการบดี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้า ซึ่งเป็นพ่อของลูกชายวัย 16 ปี ที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ได้โพสต์เผยความในใจ โดยระบุว่า

“ความในใจของพ่อเด็ก 16 ผู้เจอคดี ม.112 คงต้องกล่าวอย่างจริงใจว่า…บางสิ่งบางอย่างที่ลูกคิด ลูกทำ ผมอาจจะไม่เห็นด้วย แต่ผมเคารพการตัดสินใจของลูก ผมไม่รู้ว่าผิดหรือถูกนะครับ แต่ผมสอนลูกให้มีอิสระทางความคิด ให้เขารู้จักการตั้งคำถาม และแสวงหาคำตอบด้วยตนเอง พร้อมกับสอนให้เขารับผิดชอบกับผลของการกระทำนั้นๆ ด้วย ไม่ว่าจะบวกหรือลบ

เรื่องคดีความคงต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ผิดถูกอย่างไรค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้าถามถึงความรู้สึกส่วนตัวของผมเมื่อเห็นลูกวัยแค่นี้ถูกคดีการเมืองรุนแรง แน่นอนครับ ผมคงเหมือนพ่อแม่ทุกคนที่เจ็บปวดไปกับลูก ทั้งรักและห่วงกังวล ในฐานะของคนเป็นพ่อแม่ สิ่งที่กระทำได้ดีที่สุดในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ คือ การจูงมือลูกให้แน่น พร้อมเดินฝ่าความโหดร้ายและอุปสรรคนานัปการไปด้วยกัน

เรา…ผู้เป็นพ่อแม่เมื่อเห็นลูกสะดุดล้มเช่นนี้ คงทำได้เพียงแค่เป็นเบาะรองรับตัว ให้เจ็บน้อยที่สุด แม้ว่าจะแลกด้วยความเจ็บปวดของตัวเองก็ตาม นั่นคงเป็นวิถีของพ่อแม่ทุกคนมิใช่หรือ… ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เหตุการณ์อันแสนปวดร้าวเช่นนี้จะหยุดอยู่แค่ครอบครัวของผม ขอมันอย่าได้เกิดขึ้นกับครอบครัวคนอื่นๆ อีกเลย

ภาพ ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ ขณะสวมกอดลูก จากแฟ้ม
หมายเหตุ
1. เขาว่ากันว่าในยามยากลำบากเรามักเห็นเพื่อนแท้ โชคดีที่แม้ผมจะอยู่ในภาวะเช่นนี้ แต่ยังมี “มิตรแท้” มากมาย
ผมต้องขอขอบคุณทุกกำลังใจของผองเพื่อน รวมถึงเหล่าลูกศิษย์ลูกหา ทั้งที่รู้จักคุ้นเคยกันในโลกแห่งความเป็นจริง ตลอดจนผู้คนที่รู้จักกันผ่านโลกออนไลน์

หลายคนแม้มีความเห็นต่างทางการเมือง และมีมุมมองต่อเรื่องราวไม่เหมือนกัน แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ก็ยังแสดงความห่วงใยตลอดจนส่งไมตรีจิตมาให้ ผมต้องขอขอบคุณมากๆ เลยนะครับ

2. หากสื่อจะนำข้อความในโพสต์นี้ไปถ่ายทอดต่อ รบกวนนำเสนอผมในฐานะพ่อคนหนึ่ง ไม่ใช่ในสถานะนักวิชาการ หรือสถานะบทบาททางสังคมหรือองค์กรที่สังกัด เพราะนี่คือเรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว
ขอบคุณมากครับ”

ทั้งนี้ น.ส.วริษนันท์ ศรีบวรธนกิตติ์ หรือ แอดมินเจน หนึ่งในแอดมินเพจเชียร์ลุง ที่มีจุดยืนปกป้องสถาบัน เปิดเผยถึงกรณีมีการเผยแพร่ข้อมูลทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า เยาวชน 2 คน คือ น.ส.จตุพร แซ่อึง และ นายนภสิทธิ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 16 ปี ถูกแจ้งความดำเนินคดีข้อหามาตรา 112 ที่อายุน้อยที่สุด ว่า คดีนี้กลุ่มได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สน.ยานนาวา กล่าวโทษผู้กระทำความผิดมาตรา 112 รวม 17 คน มีเยาวชนอายุ 16 ปี 1 คน ตามที่ปรากฏเป็นข่าว ก่อนหน้าเข้าแจ้งความได้สอบถามความเห็นสมาชิกในเพจ มีผู้เห็นด้วยมากกว่า 2 หมื่นรายชื่อ เหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มราษฎร ที่ถนนสีลม เมื่อวันที่ 29 ต.ค.จากคลิปหลักฐานที่เพจรวบรวมมาได้ พบว่า ผู้กระทำความผิดไม่ได้เจตนาจะแต่งชุดไทยคอสเพลย์ตามที่กล่าวอ้าง แต่จงใจล้อเลียนสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี มีการตะโกนคำว่า ทรงพระเจริญ ไม่ใช่การกลั่นแกล้งแต่จำเป็นต้องทำ...” (ไทยรัฐออนไลน์ 14 ธ.ค. 63)

อย่างไรก็ตาม วันนี้เช่นกัน ที่ สน.บางโพ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” แกนนำกลุ่มราษฎร 2563 พร้อมทนาย เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน สน.บางโพ ตามหมายเรียกในข้อหาจัดการชุมนุมโดยไม่แจ้งเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ จากการชุมนุมที่รัฐสภา

โดยพนักงานสอบสวนแจ้งกับทนายความว่า จะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับนายพริษฐ์ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.116 และ ม.215 ด้วย ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับการชุมนุม

จากนั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มมีกิจกรรมการชุมนุมตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ตนเองถูกดำเนินคดีความไปแล้วกว่า 40 คดี โดยเฉพาะปีนี้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 รวมแล้ว 12 คดี จึงมองว่า เจ้าหน้าที่รัฐใช้กฎหมายไม่เป็นธรรม

แน่นอน, สิ่งที่น่าจับตามองนับแต่นี้ ก็คือ ผลของการกระทำที่เข้าข่ายความผิด ม.112 ของม็อบเยาวชนปลดแอก หรือม็อบภายใต้การนำของกลุ่มราษฎร 2563 กับการต่อสู้เพื่อยกเลิก ม.112 จะเป็นอย่างไร

ยกเลิก ม.112 หรือ คดีไปต่อจนถึงที่สุด

ถามว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ายกเลิก ม.112 คำตอบแบบง่ายที่สุด ก็คือ “สถาบันฯ” จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างเสรี หรือไม่ผิดคดีหมิ่นเบื้องสูงนั่นเอง ยิ่งกว่านั้น ผลที่จะตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย ก็คือ จะมีประชาชนส่วนหนึ่งออกมาเคลื่อนไหวใหญ่ เพื่อพิทักษ์ ปกป้องสถาบันฯ และเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงอย่างสูง

ดังนั้น การไม่ให้มีการยกเลิก ม.112 จึงไม่ใช่เรื่องแค่การยึดปราการด่านสุดท้ายในการปกป้องสถาบันของคนไทยส่วนใหญ่เท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงความสงบสุขของคนไทย ที่เล็งเห็นผลอยู่แล้วว่า เสี่ยงแค่ไหน กับความวุ่นวาย การปะทะกันด้วยความรุนแรง ที่จะเกิดขึ้น

ส่วนถามว่า ถ้าไม่ยกเลิก ม.112 ไม่ว่าจะถูกกดดันจากพลังเยาวชนปลดแอก หรือคณะราษฎร 2563 รวมทั้งกลุ่มผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังหนักข้อแค่ไหน ก็อาจมีผลต่อการยกระดับการชุมนุม การสร้างเงื่อนไขให้ใช้กำลังปราบปราม จนถูกประณามจากนานาอารยประเทศ หรือ ถ้าหนักหนาสาหัสถึงขั้นมีคนตาย รัฐบาลก็อาจอยู่ไม่ได้ หรือสุดท้ายก็อาจถูกทำรัฐประหาร

เห็นได้ชัดว่า บั้นปลายของการต่อสู้ ไม่ว่าจะออกหัวหรือก้อย ล้วนไม่เป็นผลดีต่อคนไทยทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ จึงมีข้อเสนอให้ยอมรับการแก้ปัญหาในรัฐสภา แม้ไม่อาจถูกใจม็อบทั้งหมดก็ตาม ถ้ายังต้องการให้ประเทศ และประชาชนอยู่เห็นเป็นสุขต่อไป รวมทั้งอาจหาทางออกที่ไม่ดื้อดึงเอาแต่ข้อเรียกร้องของตัวเอง ทั้งที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติก็ตาม

เหนืออื่นใด คือ ความผิดที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่อาจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะเป็นความผิดเช่นกัน ดูเหมือนกรณีเด็กอายุ 16 ที่ถูกตั้งข้อหา ม.112 อาจเป็นแค่กรณีตัวอย่างเท่านั้น และก็ไม่แน่ว่า เขามาร่วมชุมนุมและแสดงออกจนเข้าข่ายความผิด เป็นเพราะอุดมการณ์โดยแท้ หรือ ถูกยุยงปลุกปั่นจากผู้ใหญ่ที่มีทั้งวุฒิภาวะ และประสบการณ์ในการหลอกล่อ หรือ วาทกรรมโน้มน้าว และหรือ จิตวิทยา อะไรต่างๆ จนทำให้เด็กหลงเชื่อ หลงแฟชั่น หลงใหลไปกับเพื่อน ฯลฯ

นี่ก็อีกประเด็นที่หลายคนกำลังเพรียกหาความรับผิดชอบ จากผู้ใหญ่ที่เป็นอีแอบอยู่เบื้องหลัง ถ้าเป็นลูกผู้ชายพอ มีสปิริตในการต่อสู้ทางการเมือง การหลอกใช้เด็ก อย่างไม่อาย และเห็นเด็กกำลังจะเดินเข้าคุก อย่างไม่สนใจไยดี และยังปลุกให้สู้ต่อไป ถือว่า อำมหิต และน่ากลัวไม่ต่างจากความเป็นเผด็จการแต่อย่างใด?

ฟัง ดร.มานะ เผยความในใจ “หัวอกคนเป็นพ่อ” ที่ลูกจะต้องถูกดำเนินคดีร้ายแรงขนาดนี้แล้ว ถ้ายังไม่คิดอะไร หรือเข้าใจ ก็นับว่า น่าเศร้าแทนสังคมไทย ที่คนอย่างนี้ก็สามารถปลุกระดมคนรุ่นใหม่มารับเคราะห์แทนได้จำนวนมากมายขนาดนี้ แล้วจะหวังอนาคตประเทศชาติได้แค่ไหน ก็ลองคิดดู!


กำลังโหลดความคิดเห็น