xs
xsm
sm
md
lg

มุกเดิม! “บิ๊กกวิ้น” ปั่นรัฐประหาร “อานนท์” ปลุกต้านขั้นรุนแรง “สุวินัย” ปูด 23 พ.ย.ออกหมายจับ “อีแอบ” 3 นิ้ว

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน จากแฟ้ม
สู้ ม.112! “บิ๊กกวิ้น” ปั่น “รัฐประหาร” เรียกมวลชน “อานนท์” ปลุกต้าน “ปลดอาวุธ-สาดสีบ้านรถ” ประณามขั้นรุนแรง “สุวินัย” ปูด “อีแอบ” ไม่รอด 23 พ.ย.ออกหมายจับ “ทนาย 3 นิ้ว” ชี้วิบากกรรมแกนนำ “ไอ คุก คุก”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (22 พ.ย. 63) เฟซบุ๊ก เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ ของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำกลุ่มราษฎร 63 โพสต์ข้อความระบุว่า

“ช่วงนี้กลิ่นรัฐประหารแรงขึ้นเรื่อยๆ และบรรยากาศทางการเมืองช่วงไม่กี่วันนี้ เริ่มคล้ายกับช่วงก่อนรัฐประหาร 49 ถ้าเกิดการรัฐประหารขึ้น ขอให้พี่น้องประชาชนออกมาต่อต้านอย่างสุดความสามารถ”

ภาพ นายอานนท์ นำภา ขณะปราศรัยหน้ากองทัพบก จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน นายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มราษฎร 63 ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ และโพสต์เฟซบุ๊ก ว่า

วิธีป้องกันรัฐประหารข้อที่ 1
ขอให้คู่สมรสหรือลูกของทหารที่จะออกมารัฐประหาร จัดการตามสมควร ไม่ให้ทหารที่บ้านท่านออกมารัฐประหารครับ นี่เหมือนจะพูดเอาขำ แต่ไม่ขำครับ คนใกล้ชิดนั่นแหละที่รู้ข่าว รู้ความเคลื่อนไหวเร็วสุด เริ่มจากคนใกล้ตัวครับ

การต้านรัฐประหาร 2
ต้องปลดอาวุธทหารที่ออกมายืนตามสถานที่สำคัญหรือตามแยก และไล่ให้ทหารเหล่านั้นเกิดความอาย สาดสีได้ให้สาด ทำทุกทางที่จะบอกกับทหารว่า “มึงไม่ใช่ฮีโร่”

ต้านรัฐประหาร 3
“บ้านพัก” และ “ที่ทำงาน” รวมทั้งรถประจำตำแหน่ง ของคนที่มีส่วนทุกระดับชั้นในการรัฐประหาร ต้องถูกประณาม ด้วยการสาดสี หรือสิ่งปฏิกูลอื่นๆ เพื่อแสดงออกว่า เราไม่พอใจ และไม่กลัว

ต้านรัฐประหาร 4
เน้นย้ำอีกครั้ง สันติวิธี ไม่ใช่แค่ การนั่งสมาธิ

ขอให้ช่วยกันออกแบบสันติวิธีสมัยใหม่ และตอบโต้คนทำรัฐประหารอย่างสาสม ขอให้เข้าใจตรงกัน #ต้านรัฐประหาร

ภาพ ดร.สุวินัย ภรณวลัย จากแฟ้ม
ด้าน เฟซบุ๊ก Suvinai Pornavalai ของ ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความ ระบุว่า

“ด่วน!! มีพรายกระซิบมาอีกแล้วว่า วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน หรือพรุ่งนี้ จะมีการพิจารณาของกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กรณีขอให้ศาลออกหมายจับ ผู้อยู่เบื้องหลัง ม็อบคณะราษฎร”

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ทีมผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ “ไอลอว์” ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ เกี่ยวกับโทษของมาตรา 112 และปรากฏว่า มีคอมเมนต์ชาวเน็ตเข้าไปต่อว่าเป็นจำนวนมาก นายยิ่งชีพ จึงทวีตชี้แจงถึงที่มาของการทวีตเตือนเรื่องนี้...

#ม.112 ห้าม

1. ดูหมิ่น
2. หมิ่นประมาท
3. แสดงความอาฆาตมาดร้าย

- พระมหากษัตริย์
- พระราชินี
- รัชทายาท
- ผู้สำเร็จฯ

โทษจำคุก 3-15 ปี

ใครทราบแล้ว พร้อมยืนยันเส้นเสรีภาพ พร้อมรับผลที่ตามมา ขอแสดงความนับถือ

ใครยังไม่ทราบ คึกคะนอง โดนคดีแล้วร้องไห้โวยวาย ขอให้ตั้งสติดีดีก่อนออกไป

....................

ภาพ นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ จากแฟ้ม
ว่าแล้วต้องโดนด่า
ด่ามาเลย

หลายคนรู้จักผมเพราะทำเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งเพิ่งทำมาสี่ปีกว่าตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญ

แต่เรื่อง #ม.112 ทำมาตั้งแต่ปี 53 หลังสลายเสื้อแดง พอใครมีชื่อในข่าวมีหมายมาที่บ้าน ก็วิ่งมาขอความช่วยเหลือ ช่วงปี 57-58 คนโดนจับหลายสิบ ขึ้นศาลทหาร ไปเยี่ยมในคุกมาทุกคน

2-3 ปีมานี้ มาตรานี้ใช้น้อยลง แต่ความกลัวยังมีอยู่ไม่หมดไป

ในทุกที่และทุกโอกาส ผมบอกเสมอว่า ขอให้กลัวไว้บ้าง เมื่อนโยบายกำหนดให้ไม่ใช้ได้วันหนึ่งมันก็กำหนดให้ใช้ได้

มีประโยชน์อะไร ที่จะเชียร์ให้คนกล้าพูดทุกอย่างที่ตัวเองคิด แล้วติดคุก ทนายเหนื่อย ครอบครัวเครียด ขบวนก็มีภาระเพิ่มขึ้น

คนโดนจับที่ผมเคยเจอ ไม่ถึง 1 ใน 5 ที่เป็นผู้กล้า รู้ชะตากรรมอยู่แล้ว แต่ก็ยืนยันที่จะทำ

ส่วนใหญ่ที่ทำ ไม่คิดว่าจะถูกจับได้ บางคนที่ไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่อาจเตรียมตัวเตรียมใจต้องเข้าคุก แล้วผลกระทบที่ตามมามันสูงมาก

ถ้าเตือนกันดีดี แล้วจะต้องโดนด่าก็โอเค ดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้เตือน
ขอบคุณข้อมูลและภาพ ทวิตเตอร์ @yingcheep (สยามรัฐออนไลน์)

เช่นเดียวกับ นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ในฐานะทนายความของแกนนำม็อบกลุ่มราษฎร 63 ให้สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์ แทบลอยด์ ไทยโพสต์ โดยสรุปภาพรวมคดีของแกนนำม็อบและผู้ชุมนุมทางการเมืองม็อบสามนิ้วจนถึงปัจจุบัน ว่า

ตั้งแต่ 13 ต.ค. 63 เป็นต้นมา ตามข้อมูลพบว่า มีผู้ถูกดำเนินคดีอยู่ประมาณ 90 กว่าราย โดยมีผู้ถูกดำเนินคดีอยู่ในชั้นตำรวจประมาณแปดสิบกว่าคดีทั่วประเทศ ทั้งหมดอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน ความผิดส่วนใหญ่โทษสูงสุดที่เป็นข้อหาหนักก็คือ คดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 เรื่องการประทุษร้ายต่อสมเด็จพระราชินี ที่เสด็จฯ ผ่านผู้ชุมนุม

นายกฤษฎางค์ กล่าวว่า ส่วนโทษพื้นฐานที่แกนนำโดน ก็คือ การเอาผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 เป็นเรื่องการแสดงความคิดเห็น ที่ทำให้ประชาชนก่อความวุ่นวายตามกฎหมายความมั่นคง ที่เหลือพบว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องการแจ้งข้อหาว่า กระทำความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ, พ.ร.บ.รักษาความสะอาด, พ.ร.บ.จราจร โดยผู้ถูกดำเนินคดีส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา เยาวชน ซึ่งตอนนี้ได้รับการประกันตัวทั้งหมดแล้ว

ส่วนกรณีนายกฯ ออกแถลงการณ์จะบังคับใช้กฎหมายทุกฉบับ ทุกมาตราที่มีอยู่เอาผิดกับผู้ชุมนุมที่กระทำความผิดนั้น ในความเป็นจริงรัฐบาลก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมา เขาก็ใช้กฎหมายทุกมาตราอยู่แล้ว จึงมองว่า เป็นเรื่องของการขู่มากกว่า เพราะเดิมปกติรัฐบาลมักจะทำมากกว่ากฎหมายด้วยซ้ำไป มองว่า เป็นการกำชับบทบาทของตำรวจให้รุนแรงมากขึ้นเท่านั้นเอง เพราะตอนนี้ตำรวจก็ใช้กฎหมายทุกมาตราอยู่แล้ว แม้แต่เรื่อง พ.ร.บ.รักษาความสะอาด ที่เด็กนักศึกษาเอาผ้าขาวไปผูกที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยยังใช้เลย ผมเลยไม่แปลกใจ

เมื่อถามว่า สุดท้ายแล้วในฐานะทนายความของแกนนำม็อบ โดยเฉพาะพวกกลุ่มนักศึกษา ชะตากรรมของแกนนำแต่ละคนสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร ทนายความแกนนำม็อบราษฎร 63 ตอบว่า อนาคตของพวกเขาก็คงต่อสู้ต่อไปเต็มที่

ผมก็หวังว่า อนาคตของพวกเขา จะไม่เหมือนนักเคลื่อนไหวรุ่นพี่ๆ ที่ภายหลังขายอุดมการณ์ไปรับใช้ฝ่ายตรงข้าม ผมเชื่อว่า คนเหล่านี้หนักแน่นเพียงพอ ก็เคยมีคนพูดกับพวกเขาว่า เป็นนักต่อสู้ต้องมีบาดแผล ซึ่งความหมายมันลึกซึ้ง เพราะสิ่งที่พวกเขาไปต่อสู้แล้วได้รับ มันอาจเป็นวิบากจากผลการต่อสู้ เพราะเป็นการต่อสู้ทางการเมืองที่มันไม่ใช่การเล่นหมากเก็บ เป็นเรื่องจริงจัง

“บางคนก็ไม่แน่ อาจติดคุกก็มี อาจโดนลงโทษหรืออาจถึงขั้นถูกลอบทำร้าย อุ้มหายแบบความรุนแรงในอดีต เด็กนักศึกษาเหล่านี้มีสิทธิ์ได้รับ เพราะพวกเขาเข้าไปสู้ในหัวใจของปัญหาที่มีผลประโยชน์มหาศาล ซึ่งเด็กพวกนี้เขาก็พร้อมเสียสละต่อสู้”

แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ กระแสข่าวลือเรื่องรัฐประหาร ที่ “เพนกวิน” ได้กลิ่นมานั้น แท้จริงเป็นอย่างไร เป็นเรื่องจริงที่ได้ยินมากับหู หรือเป็นเรื่องที่กุขึ้นมา เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง โดยเฉพาะการชุมนุมภายใต้กลุ่มราษฎร 63 ที่กำหนดเอาไว้ในวันที่ 25 พ.ย. 63 ที่หน้าสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

เรื่องนี้วิเคราะห์ได้ไม่ยาก เพราะก่อนหน้านี้ ผู้นำทหาร ก็เคยออกมาแสดงท่าทีแล้วว่า จะไม่ทำรัฐประหาร และกองทัพในเวลานี้ ก็คือ กองทัพ ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีสายสัมพันธ์อันแนบแน่น จึงไม่น่าจะมีใครคิดการใหญ่

อีกอย่าง ทหารย่อมรู้ดีว่า การทำรัฐประหารนั้น ไม่ใช่เรื่องสนุก พลาดพลั้งขึ้นมาโทษถึงขั้นประหารชีวิตเลยทีเดียว และความเป็นจริง รัฐบาลก็ไม่ได้เพลี่ยงพล้ำต่อการชุมนุมทางการเมืองถึงขั้นที่จะต้องรัฐประหารตัวเอง สรุป น่าจะเป็นข่าวลือ และคนที่ลือเรื่องนี้ก็จะต้องได้ผลประโยชน์ตามมา

อีกประเด็นคือ การเอาผิดตามกฎหมายต่อผู้ชุมนุมทางการเมืองของม็อบราษฎร 63 ซึ่งนายกรัฐมนตรี ประกาศจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดทุกมาตรา รวมถึง ม.112 ซึ่ง เป็นกฎหมายอาญา ความผิดหมิ่นสถาบันเบื้องสูง นั่นเอง

เรื่องนี้หลายคนเชื่อว่า จะมีส่วนไม่น้อยที่จะทำให้ ม็อบราษฎร 63 มีคนเข้าร่วมน้อยลง เพราะส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีอุดมการณ์ล้มเจ้าอย่างเข้มข้น ก็อาจมีการทบทวนการไปร่วมชุมนุมก็เป็นได้ อีกอย่างเป็นที่ทราบกันดีว่า ก่อนหน้านี้ (17-18 พ.ย. 63) ม็อบราษฎร 63 ได้สร้างวีรกรรมเอาไว้มากมาย ทั้งมีการปะทะกับกลุ่มเสื้อเหลือง จนมีเหตุรุนแรงถึงขั้นยิงกัน และการจาบจ้วงสถาบันกษัตริย์อย่างร้ายแรง ในวันที่ 18 พ.ย. ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ไปแล้ว เหล่านี้ถือว่า ความชอบธรรมในการชุมนุมอย่างสงบ สันติ ปราศจากอาวุธของ ม็อบราษฎร หมดสิ้นตามไปด้วย ที่เหลือคือ การใช้สิทธิเสรีภาพเกินขอบเขต และส่อว่า ต้องการให้เกิดความรุนแรง เพื่อสนองประโยชน์ของคนที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เท่านั้นเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่แปลก หากแกนนำจะกุข่าว “รัฐประหาร” ขึ้นมา เพื่อปลุกกระแสดึงมวลชนเข้าร่วมการชุมนุมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยอาศัยเงื่อนไขรัฐประหาร ดึงคนที่รักประชาธิปไตยออกมาต่อต้าน อย่างที่ “บิ๊กกวิ้น” และนายอานนท์ รับลูกกัน ทันทีทันควัน

เหนืออื่นใด ที่ต้องระวังอย่างสูงก็คือ หากกุข่าวรัฐประหารไม่ได้ผล อาจมีใครบางคน ต้องการเหยื่อ เพื่อที่จะป้ายสีความรุนแรง โดยเลือกจากคนในม็อบ หรือ แกนนำผู้โชคร้าย ซึ่งไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น แต่ใครจะห้ามได้ ในเมื่อมันคือ เกมที่ถูกกำหนดมาจากผู้อยู่เบื้องหลัง และผู้ที่มีส่วนเกี่ยว ในการแทรกแซงของต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าจะเอาชนะในเกมใหญ่ได้ ก็ต้องใช้ความรุนแรงในระดับเดียวกัน เชื่อหรือไม่ ลองตรองดู ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร หรือว่าไม่จริง!


กำลังโหลดความคิดเห็น