แกนนำเพื่อไทยแถลงยืนยันรับร่างแก้ไข รธน.7 ฉบับ หลัง ส.ส.หลายคนเริ่มคลายกังวลไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 พร้อมไม่เห็นด้วยทำรุนแรงใส่ม็อบ
วันนี้ (17 พ.ย.) นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยแกนนำพรรคเพื่อไทย แถลงยืนยันว่ามติของพรรคร่วมฝ่ายค้าน 6 พรรคยังยืนยันในการให้ความสำคัญต่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของประชาชน ซึ่งเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 โดยจะยึดมั่นว่าจะเห็นความสำคัญของประชาชนที่จะนำไปอภิปรายในที่ประชุมรัฐสภา
นายสมพงษ์กล่าวว่า ในการประชุมของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 16 พ.ย. มี ส.ส.หลายคนไม่สบายใจต่อการลงมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนหนึ่งเพราะ ส.ส.ยังไม่เห็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ แต่เมื่อได้พิจารณาแล้วความกังวลของ ส.ส.ได้หายไปสิ้นเชิง เมื่อเบาบางลงไปจึงมีความเห็นว่าการดำเนินการตามมติของพรรคร่วมฝ่ายค้านจะเป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยจะโหวตไปในทางเดียวกับมติของพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยจะยึดแนวทางนี้ในการดำเนินการทางการเมืองในรัฐสภา
“เมื่อเราได้ชี้แจงแล้วหวังว่าทุกฝ่ายจะเข้าใจพรรคเพื่อไทยเพิ่มมากขึ้น ฝ่ายค้านจะลงมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 7 ฉบับ และที่สำคัญเมื่อดูร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของไอลอว์แล้วไม่ได้มีประเด็นที่หลายฝ่ายกล่าวหาเกี่ยวกับหมวด 1 และหมวด 2”
ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นคราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีจุดยืนดังนี้ 1. ยืนยันตามมติของพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้ง 6 พรรค และ 2. ยืนอยู่ข้างประชาชนและให้ความสำคัญต่อกฎหมายของประชาชนที่เสนอเข้ามายังรัฐสภา วันนี้ได้มีการพูดคุยกับ ส.ส.และเห็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของไอลอว์แล้วพบว่ามีหลักการที่คล้ายกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายค้านเสนอก่อนหน้านี้
ด้านนายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน กล่าวว่า ส.ส.หลายคนไปใคร่ครวญและวันนี้ได้ฟังและคำชี้แจงระดับหนึ่ง พบว่าทุกคนสบายใจขึ้น จริงๆ แล้วพรรคเพื่อไทยเห็นความสำคัญกับประชาชน เมื่อข้อกังวลหายไปก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับไอลอว์ เพราะมีหลายเรื่องที่สามารถปรับแก้ไขในวาระที่ 2 ได้
สำหรับกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มมีการฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุมนั้น นายสมพงษ์กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยต่อความรุนแรงที่นำมาใช้ แต่ควรเน้นการพูดคุยกัน
นายสุทินกล่าวเสริมว่า มาตรการที่ดำเนินการนั้นรัฐบาลต้องพิจารณาว่ากระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ เพราะที่ผ่านมากลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้มีการดำเนินการด้วยความรุนแรงแต่อย่างใด