วันนี้ (17 พ.ย.) เมื่อเวลา 08.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม ครม.ว่า ในที่ประชุมวันเดียวกันนี้จะยังไม่มีการนำเรื่องความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) เข้าหารือ เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรืออาร์เซ็ป ซึ่งหลังจากลงนามาร่วมกันเมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมาแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีผลบังคับใช้ทันที ขั้นตอนต่อไปจะต้องมีการให้สัตยาบันระหว่างประเทศสมาชิกทั้ง 15 ประเทศ รายละเอียดขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศที่กำหนดไว้ สำหรับประเทศไทยต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน ถ้ารัฐสภาผ่านความเห็นชอบจึงจะสามารถแจ้งให้ทางเลขาธิการอาร์เซ็ปทราบซึ่งตนจะเร่งนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภาโดยเร็ว และให้ทันในสมัยประชุมนี้ มีระยะเวลาอีกเพียง 4 เดือนคือ พ.ย. 2563 - ก.พ. 2564
“การจะมีผลบังคับใช้ได้นั้น กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องมี 5 ประเทศขึ้นไปให้สัตยาบัน หมายความว่า 6 ประเทศและบวกกับประเทศกลุ่มคู่เจรจาอีก 5 ประเทศ หรืออย่างน้อย 3 ประเทศ จึงจะมีผลบังคับใช้ได้ หมายความว่าอย่างน้อยต้องเป็นประเทศอาเซียน 6 เสียง และคู่เจรจาอีก 3 ประเทศ รวมเป็น 9 ประเทศ ถ้าได้แล้วก็ไม่ต้องรอประเทศที่เหลือ สามารถมีผลบังคับใช้ได้ เหตุผลที่ผมเร่งรัดเพราะอาร์เซ็ปจะเป็นประโยชน์มากต่อการค้าและการลงทุนของไทย ช่วยให้มีตลาดการค้าการลงทุนใหญ่ขึ้น รวมทั้งมีเงื่อนไขการผ่อนปรนมากขึ้น การส่งออกสินค้าไป 14 ประเทศก็จะทำให้ภาษีเป็นศูนย์ ทำให้การแข่งขันของเราเป็นไปตามระยะเวลาตามเงื่อนไขที่กำหนด ถือเป็นการสร้างแต้มต่อให้กับไทย สิ่งสำคัญภาคเอกชนเองก็ต้องเร่งเตรียมตัวและเร่งศึกษากฎระเบียบทั้งหมด”