“บิ๊กตู่” พูดไปบ่นไป ลั่นไม่ห่วงตำแหน่ง แต่ห่วงฐานะประเทศ หวั่นตีกันเอง ต่างชาติย้ายฐานผลิตเผ่นหนี ยอมรับกลัวติดคุก เผยทำอะไรต้องรอบคอบ เหน็บมีบางคนไม่กลัวคุก ออกตัวไม่ใช่ซูเปอร์แมน ทำงานเป็นทีม
วันนี้ (11 พ.ย.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ห้องแกรนด์ ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กทม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานงานสัมมนาและแสดงปาฐกถาในงานสัมมนา “ภาคธุรกิจไทยในวิถียั่งยืน” ตอนหนึ่งว่า วันนี้ไม่ใช่โลกใบเก่า เป็นโลกใบใหม่ เวลาตนไปคุยกับเอกอัครราชทูตหลายประเทศหลายปีที่ผ่านมา เขาก็พอใจประเทศไทย เขามีความสุขอยู่ประเทศไทย หลายคนบอกมีคนไม่อยากคุยกับตน แต่ตนก็เห็นเขาคุยกับตนทุกคน การประชุมต่างๆ เขาก็เชิญไปทุกประเทศ ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ตนไม่ได้บอกคนนั้นถูกคนนั้นผิด แล้วตนถูก มันไม่ใช่ ก็ต้องฟังกันทุกคนแล้วมาใคร่ครวญดูว่าสิ่งที่ทำมาแล้วดีหรือยัง ถ้าไม่ดีแล้วจะทำอย่างไร เราต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่มีใครได้มากได้น้อย รัฐบาลไม่ได้อะไร เรื่องทุจริตต่างๆ ถ้าเห็นก็แจ้งกันมา ช่วงที่ผ่านมามีเยอะพอควร ก็ลงโทษกันไป สิ่งเหล่านี้เป็นคนละบริบท ถ้าเอามาพันกันทั้งหมดทุกอย่างมันก็ไม่ดีหมด ก็เป็นอยู่อย่างนี้
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เป็นอย่างนี้ นี่คือโลก คือประเทศ ไม่ใช่ตัวเรา หรือบริษัทเราบริษัทเดียว รัฐบาลต้องมองในภาพรวม ทำอย่างไรให้คน 70 ล้านคนมีความสุขอย่างยั่งยืน และพอเพียง แต่ความต้องการของมนุษย์ไม่มีวันเพียงพอ ตนยอมรับหลักการตรงนี้ ต้องนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ พระองค์ท่านทรงทำไว้หมดแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะนำมาปฏิบัติได้อย่างไร อยู่ที่จิตใจประชาชนทุกคน ไม่อย่างนั้นขัดแย้งกันอยู่อย่างอย่างนี้ หลักการและเหตุผลจะทำอะไรต้องดูอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ อะไรที่ไม่ควรทำ นั้นคือสิ่งที่รัฐบาลดูในภาพรวม เราต้องทำอย่างนี้เสมอ เพราะมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง รัฐบาลกำลังเร่งรัดการพัฒนาให้เป็นไปตามโลกปัจจุบันก็คือ
เทคโนโลยีดิจิทัลซึ่งมีทั้งบวกและลบ วันนี้กฎหมายต่างๆ เกี่ยวกับออนไลน์ก็ออกมา แต่เราไม่ให้ความสนใจ กฎหมายมีทั้งคนได้และไม่ได้ มีทั้งคนเสียและเสียน้อย แต่กฎหมายต้องทำออกมา แต่กฎหมายต้องทำให้คนส่วนใหญ่ปฏิบัติได้
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนในฐานะหัวหน้ารัฐบาลก็รู้เท่าตามคิดของตน แต่ก็ต้องให้คณะทำงานไปศึกษา ตนอาจจะรู้ไม่เท่าคนทำงาน แต่ตนรู้ว่าควรจะทำอย่างไร แล้วท่านก็ไปหาทางทำมา ทำได้ไม่ได้ก็บอกตนมาแล้วแก้ปัญหากันไป โดยจะต้องยึดมั่นในหลักการสำคัญ คือ ทำอย่างไรจะให้เกิดความเป็นธรรม เรื่องความเหลื่อมล้ำ การกระจายรายได้เป็นมานานแล้ว แต่วันนี้ต้องมาดูว่ามีอะไรดีขึ้นบ้าง หากเรามองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงคงไปไม่ได้ ท่านต้องเปรียบเทียบในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา หรือแต่ในรัฐบาลมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแล้วบ้าง หลายคนไม่รู้เลย หลายอย่างดูจากสื่อ หลายอย่างดูจากออนไลน์ก็ไม่รู้เรื่องอีก ลืมตาขึ้นมาดูเฟซบุ๊ก พอมีหลายละเอียดก็ไม่ดู แล้วจะรู้ได้อย่างไร
นายกฯ กล่าวว่า เราต้องเรียนรู้ออนไลน์และออฟไลน์ สิ่งที่มีประโยชน์ทุกคนต้องเปิดดูบ้าง ไม่อย่างนั้นรู้แต่ด้านเดียวแล้วตีกันไม่เลิก วันนี้ต้องพิจารณามีกี่โครงการเกิดขึ้นแล้วบ้าง วันนี้มีรถไฟฟ้ากี่สาย มีรถไฟรางคู่กี่กิโลเมตร มีท่าเรือ มีอีอีซี สิ่งเหล่านี้แม้ใช้เวลาก่อสร้างยาวนาน แต่อย่างน้อย 5 ปีข้างหน้ามีผลผลิตออกมาแน่นอน ถ้าเราอดทน เราไม่เคยมีโครงการขนาดใหญ่ในประเทศไทยเลย ที่โชติช่วงชัชวาลมีไหม เราจะกินบุญเก่าอยู่อย่างนี้หรือ มันก็ไม่ได้ ต้องหาอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาทำ แต่ก็ต้องระวังการทุจริต หลายอย่างหาทางทำอย่างไรให้ได้ วันนี้ถ้าเราทำอย่างรอบคอบ ทำด้วยความรับผิดชอบร่วมกัน โดยที่ไม่มีการเรียกร้องซึ่งกันและกันจนมากเกินไปมันจะทำได้
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สิ่งที่ทำวันนี้ถ้าเราทำอย่างรอบคอบ ทำจากการหารือจากการเห็นชอบร่วมกัน โดยที่ไม่ต้องเรียกร้องอะไรซึ่งกันและกันจนมากเกินไป จนดูแลไม่ได้ มันจึงจะเรียบร้อยและสามารถทำได้ ตนไม่อยากให้ต่างประเทศมองว่าเราเชื่อมั่นไม่ได้ เราต้องการให้เขาย้ายฐานการผลิตมาไทย แต่มีปัญหากันอยู่ทุกวัน เขาจะมาไหม นี่คือสิ่งที่ตนเป็นห่วง
“ผมไม่ได้ห่วงที่ตัวผม เรื่องตำแหน่งอะไรทั้งสิ้น แต่ผมห่วงฐานะประเทศไทยจะไปอยู่ตรงไหน และถ้าเขาไม่มา
ย้ายฐานผลิตไปที่อื่นกันหมดจะทำอย่างไร เรื่องสิทธิประโยชน์ก็จำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นของเราว่าจะให้มากน้อยแค่ไหนมากเกินไปก็กลายเป็นประโยชน์ ให้น้อยเกินไปเขาก็ไม่มา การปกครองต่างกัน สังคมนิยมประชาธิปไตย กับประชาธิปไตยมันต่างกันตรงไหน นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องเอามาคิด” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การที่มองว่าประเทศนั้นเขาทำได้เพราะเขามีอำนาจถึงทำได้ แต่ตนมีอำนาจก็เหมือนไม่มีตนไม่ต้องการอำนาจ ต้องการแค่ความเข้าใจ ความร่วมมือ ที่พูดทุกวันหลายคนบอกว่าพูดเยอะ ตนต้องการอธิบายให้ฟัง ต้องพูดตรงนี้ ไม่ได้พูดเพื่อให้อยู่ไปนานๆ ตนจะอยู่ถึงอายุ 100 ปีหรืออย่างไร ที่นี่มีใครอายุ 100 ปีบ้าง หลายเรื่องเอามาพันกันจนมีปัญหา แต่มันไม่ใช่ สิ่งดีๆ กว่าเรามีเยอะ พูดให้ฟังไม่ได้บ่น ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ เพราะเห็นว่ามันยุ่งกันพออยู่แล้วจะพูดอะไรก็เป็นเรื่องไปหมด
“ผมไม่ใช้ศัตรูของสื่อใดๆ ทั้งสิ้น จะรอดูพาดหัวว่ายังไง ผมไม่จำกัดความคิด แต่จะเขียนอะไรระวังนิด ไม่ใช่ระวังผม แต่ระวังประเทศชาติจะเกิดความวุ่นวายและมีปัญหา”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ปัญหาของเราผูกรายได้ประเทศกับการส่งออก พอเริ่มมีก็เริ่มมีปัญหา เรื่องการท่องเที่ยว การส่งออกตามมา สัดส่วนที่สำคัญอีกอย่าง คือ การใช้จ่ายภาครัฐ เราจึงจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ทั้งหมด คิดแบบเดิมไม่ได้ อาจเหมาะสมแค่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ถึงวันนี้ต้องเปลี่ยน ด้วยความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนทั้งการค้าและอุตสาหกรรม ทั้งหมดเราต้องสร้างความเข้าใจในหลักการและวิธีการดำเนินการ ถ้าหลักการไม่เข้าใจก็จะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อย หรือรัฐบาลมัวแต่แก้ปัญหาจากคำวิจารณ์ทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ จะอีรุงตุงนังไปหมด ทุกขั้นตอนมีรายละเอียดและกฎกติกา
“ผมก็กลัวติดคุกเหมือนกัน หรือใครไม่กลัวบ้าง ไม่มีหรอก ยกเว้นบางคนไม่กลัวก็มี ก็แล้วแต่ เพราะกฎหมายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนอยู่ร่วมกันได้ในสังคม นั่นคือกฎหมายและความเท่าเทียมเพราะทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน ไม่ว่าจะผมหรือใคร ส่วนที่ว่าใครจะบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ไปฟ้องร้องก็ไปฟ้องร้องหรือฟื้นคดีขึ้นมา ถือเป็นช่องทางตามประชาธิปไตยอยู่แล้ว ถ้าจะคิดเอาเองก็เป็นแบบนี้ หลายอย่างก็จริง แต่หลายอย่างก็ไม่จริง หากจริงก็ต้องแก้ไข ก็แก้ได้ทั้งหมดให้ความเป็นธรรม ผมก็รื้อทุกอันมาให้ อย่ามองทุกอย่างเป็นปัญหาไปหมด ปัญหาบางอย่างมีไว้ให้แก้ มีไว้ให้ฟันฝ่าเป็นบทเรียน ประวัติศาสตร์มีไว้ให้เป็นบทเรียน เอามาศึกษา อะไรไม่ดีอย่าไปทำอีก บางประเทศที่เขาไม่ทะเลาะกันเพราะเขาเคยเผชิญหน้าแบบนี้มาแล้ว อย่างเช่นเรื่องของสงครามโลก สงครามเหนือ-ใต้ ตายเป็นล้านคน เขาไม่ต้องการให้เกิดอีก นั่นคือสิ่งที่เขาคิด แต่ของเราไม่เคยเจอแบบนี้ มันจะไม่มีอยู่ ผมก็หวังว่ามันจะไม่มีอยู่แล้ว แต่เราชอบรบกันด้วยความคิด รบกันด้วย Social Media ก็ต้องระมัดระวัง ขอให้เรียนรู้ว่าอะไรคืออะไร ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าการทำงานที่ผ่านมาผมพยายามลงไปดูไปจี้ไปถาม และมีคำสั่งในกรอบของนายกรัฐมนตรี ผมไปลงรายละเอียดมากไม่ได้ ให้ข้าราชการทุกคนมีสิทธิ์คิด ผมและคณะทำงานก็มากลั่นกรองกันอีกครั้ง ถ้าใช่ก็ทำ ถ้าไม่ใช่ก็ต้องหาวิธีการ ผมทำงานแบบนี้ ไม่ใช่ทำส่งเดชไปเรื่อย ทำขนาดนี้ก็ยังมีหลุดรอดเหมือนกันก็ต้องมาแก้ไข เราทำงานด้วยคณะทำงาน ผมไม่ใช่ซูเปอร์แมนที่จะทำคนเดียว เศรษฐกิจก็มีคนคิดหลายคน มีทั้งฝ่ายกฎหมายฝ่ายทำงาน ผมต้องฟังทุกฝ่าย สิ่งสำคัญคือเราต้องสร้างพื้นฐานของประเทศให้มีแบบแผนด้วยหลักการเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่ไม่ใช่สอนให้คนจน แต่ให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามฐานะของตัวเอง มีเหตุผลเพียงพอต่อการใช้จ่าย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงปาฐกถาของ พล.อ.ประยุทธ์ มีสีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด แม้บางจังหวะเจ้าตัวจะพยายามชี้แจงว่าไม่ได้บ่น แต่เป็นการเล่าสู่กันฟัง แต่สีหน้าก็ยังคงเคร่งเครียด ขณะเดียวกัน ในช่วงท้ายก่อนเดินลงจากเวที พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวอีกว่าอย่าไปพาดหัวข่าวว่านายกฯ บ่น ตนเพียงแต่เล่าให้ฟังเท่านั้น