นายกฯ ลงพื้นที่สนามบินนานาชาติสมุย ก่อน ครม.สัญจรภูเก็ต ตรวจความพร้อมมาตรการคัดกรองโรคโควิด-19 รองรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ย้ำต้องพลิกวิกฤตเป็นโอกาสเพื่อดึงต่างชาติมาท่องเที่ยว
วันนี้ (2 พ.ย.) เมื่อเวลา 07.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง มายังท่าอากาศยานนานาชาติสมุย ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อลงพื้นที่ตรวจความพร้อมมาตรการคัดกรองโรคโควิด-19 รองรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ท่าอากาศยานนานาชาติสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกสถานที่อย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 2-3 พ.ย. โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ
โดยโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ตรวจมาตรการคัดกรองนักท่องเที่ยวท่องเที่ยวต่างชาติ ในระบบ ALSQ (Alternative Local State Quarantine บริเวณสนามบินเกาะสมุย ซึ่งมีขั้นตอนที่ถูกกำหนดไว้ทั้งการคัดกรองโรค วัดอุณหูมิ จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ตรวจเอกสารเดินทางเข้าประเทศ และการผ่านตรวจคนเข้าเมือง การส่งขึ้นรถโดยสารต่อไปยังโรงแรม ที่เข้าร่วม ALSQ โดยทางสาธารณสุขอำเภอเกาะสมุยยืนยันถึงความพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยวซึ่งขณะนี้ในระยะที่หนึ่งมีโรงแรม 7 แห่งเข้าร่วม มากกว่า 200 ห้อง แต่หากมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นก็เตรียมที่จะขยายในอนาคต ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อเกิดวิกฤตแล้วต้องทำให้เป็นโอกาส และทุกอย่างนั้นจะต้องออกมาดี เมื่อต่างชาติเห็นก็อยากจะมาท่องเที่ยว
จากนั้นนายกฯ ได้เยี่ยมชมห้องพักของโรงแรมเชอราตัน สมุย รีสอร์ท ที่เข้าร่วม ALSQ ก่อนตรวจระบบติดตามผู้เดินทางเข้าออกภายในเกาะสมุย ที่สำนักงานเทศบาลนครเกาะสมุย ตรวจศูนย์ควบคุมกล้องวงจรปิด ใช้ระบบเครือข่ายใยแก้วนำแสง และกล้องโทรทัศน์วงจรปิดชนิดเครือข่าย สำหรับใช้ในงานรักษาความปลอดภัยและวิเคราะห์ภาพ จำนวน 1,044 ตัว พร้อมห้องควบคุม พร้อมกันนี้ยังพบปะประชาชน วัดพระเจดีย์แหลมสอ มอบกิ่งปะการังแก่นักดำน้ำร่วมปล่อยปูม้า เต่าทะเล ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเกาะสมุย ร่วมกับประชาชน
ด้านนายอนุทินกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์มีนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานทุกภาคส่วนเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยเฉพาะเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดภูเก็ต เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ดังนั้น การคัดกรองและกักกันโรคผู้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยจึงมีความสำคัญ โดยได้เตรียมความพร้อมทั้งสนามบินสมุยและสนามบินภูเก็ต ทั้งการวัดไข้ ระบบตรวจคัดกรอง ระบบห้องปฏิบัติการ ระบบแอปพลิเคชันในการติดตาม โรงแรมที่ใช้ในการกักตัวเป็น ALQ รวมถึงบุคลากร ยา และเวชภัณฑ์ต่างๆ ทำให้มั่นใจได้ว่าประเทศไทยสามารถรับนักท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัยและสามารถควบคุมโรคให้อยู่ในวงจำกัด
นายอนุทินกล่าวว่า สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ได้จำลองว่ามีนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Vias (STV) เดินทางด้วยเครื่องบินถึงเกาะสมุย ใช้รถรางลำเลียงผู้โดยสารเข้ามายังทางเข้าอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ จากนั้นผ่านด่านคัดกรองโดยทำความสะอาดมือและรองเท้า วัดอุณหภูมิร่างกาย หากระหว่างคัดกรองมีอุณหภูมิร่างกายมากกว่า 37.3 องศาเซลเซียสหรือมีอาการตามนิยามผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค (PUI) ได้แก่ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ จะถูกสอบสวนโรคที่ห้องแยกกัก พร้อมรายงานข้อมูลตามระบบ และส่งต่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเกาะสมุย
“หากผ่านการวัดอุณหภูมิจะตรวจเอกสารทางราชการ ได้แก่ หนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศ Fit to Fly ผลตรวจปลอดเชื้อโควิด 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง ใบจองโรงแรม ALQ หนังสือเดินทาง ประกันสุขภาพ 1 แสนเหรียญ ใบ ตม. แอปพลิเคชัน Samui Health Pass และแอปพลิเคชัน COSTE จากนั้นคัดกรองสุขภาพ พิธีการตรวจคนเข้าเมือง รับสัมภาระ และพิธีการศุลกากร จากนั้นเจ้าหน้าที่โรงแรมรับนักท่องเที่ยว ทำการเช็กอินออนไลน์ ทำลายเชื้อบนกระเป๋าเดินทาง และไปยังโรงแรมที่เป็นสถานที่กักกันที่รัฐกำหนด (Alternative Local Quarantine : ALQ) เพื่อกักตัว 14 วัน ตรวจหาเชื้อขณะกักตัวอย่างน้อย 3 ครั้ง โดยส่งตรวจโรงพยาบาลเกาะสมุย เมื่อพบการติดเชื้อจะส่งรักษาโรงพยาบาลเกาะสมุย โดยผู้เดินทางรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดระหว่างกักกันและการรักษาโดยสมัครใจ หากไม่พบเชื้อเมื่อกักตัวครบ 14 วัน ก็สามารถไปท่องเที่ยวต่อได้ ทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีการแพร่เชื้อ เป็นการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย” รมว.สาธารณสุขกล่าว
นายอนุทินกล่าวว่า ขณะที่สนามบินภูเก็ตมีระบบการดำเนินการคัดกรองผู้เดินทางเช่นเดียวกัน โดยส่งตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 11/1 จังหวัดภูเก็ต และโรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์สามารถออกผลตรวจได้ภายใน 1 วัน มีการใช้ระบบแอปพลิเคชันติดตามตัว และมีมาตรการเชิงรุก เตรียมแผนเฝ้าระวังค้นหาในสถานพยาบาล ชุมชนพื้นที่เสี่ยง ประชากรกลุ่มเสี่ยง และเฝ้าระวังผู้ป่วยกลุ่มอาการและโรคทางเดินหายใจ โรคปอดอักเสบ รวมถึงมีความพร้อมด้านสถานที่กักกันระดับจังหวัด (Local quarantine) และสถานที่กักกันทางเลือก ( Alternative Local Quarantine) ซึ่งผู้กักกันต้องชำระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดเช่นกัน
นายอนุทินกล่าวว่า ประเทศไทยมีประสบการณ์และบทเรียนในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 ทำให้สามารถควบคุมโรคนี้ได้เป็นอย่างดี อย่างการคัดกรองและกักกันโรคผู้เดินทางจากต่างประเทศก็ดำเนินการได้เป็นอย่างดี โดยเริ่มจากการเปิดให้คนไทยในต่างประเทศเดินทางกลับเข้ามา แล้วจึงขยายให้ชาวต่างชาติตามที่กำหนดเดินทางเข้ามาด้วย จนเป็นที่ประจักษ์ว่าประเทศไทยสามารถควบคุมป้องกันโรคโควิด-19 จากต่างประเทศไม่ให้แพร่ระบาดภายในประเทศได้ จึงขยายต่อในเรื่องของการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แม้ประเทศไทยจะมีระบบคัดกรองและกักกันโรคที่ดี แต่คนไทยยังต้องร่วมมือกันคงมาตรการด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะ DMHT ที่เป็นวัคซีนที่ดีที่สุด ได้แก่ D : Distancing การเว้นระยะห่าง M : Mask Wearing สวมหน้ากาก H : Hand Washing การล้างมือ และ T : Testing การตรวจคัดกรองและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงโรคโควิด-19 ได้