ทีมโฆษกรัฐบาล เผย นายกรัฐมนตรี สั่งคลายล็อกบัตรทอง รักษาได้ทุกที่ ไม่ต้องมีใบส่งตัว ยกระดับประกันสุขภาพง่ายและสะดวก ปชช. พร้อมระบุรัฐบาลเชื่อ หากคลายปัญหาการเมืองได้ โอกาสประเทศรออยู่
วันนี้ (25 ต.ค.) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบให้กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ในการยกระดับระบบสวัสดิการแห่งรัฐด้านสาธารณสุข ด้วยการยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรณีประชาชนผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) สามารถเข้ารับการรักษาที่ใดก็ได้ และยกเลิกการต้องใช้ใบส่งตัวของผู้ป่วยในกรณีมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานที่รักษาพยาบาล โดยมีรายละเอียดการคลายล็อกดังนี้
1. ประชาชนสามารถรับการรักษาพยาบาลที่ใดก็ได้
โดยทดลองให้ประชาชนในกรุงเทพมหานคร สามารถไปรับบริการที่ “หน่วยบริการชุมชน อบอุ่น” อันประกอบด้วย คลินิกชุมชนอบอุ่น และหน่วยบริการเฉพาะทางชุมชนอบอุ่น ได้ทุกแห่ง ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ใช้สิทธิบัตรทองจะถูกจับคู่กับหน่วยบริการประจำ (คลินิก) เพียงแห่งเดียวเท่านั้น เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องไปรักษาที่คลินิกประจำนั้นๆ หากป่วยหนักจนคลินิกรักษาไม่ไหว คลินิกก็จะส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพให้รักษาต่อ
แต่นโยบายใหม่นี้ผู้ใช้สิทธิบัตรทองในพื้นที่ กทม. จะสามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการที่หลากหลายมากขึ้น โดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตั้งเป้าที่จะประสานหน่วยบริการจำนวน 500 แห่ง ให้เข้ามาเป็น “หน่วยบริการชุมชนอบอุ่น” (คลินิกชุมชนอบอุ่น และหน่วยบริการเฉพาะทางชุมชนอบอุ่น)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2563 เป็นต้นไป ผู้ใช้สิทธิบัตรทองใน กทม. จะสามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการชุมชนอบอุ่นในเขตของตัวเองได้ทุกแห่ง และสามารถนัดหมายการเข้ารับบริการล่วงหน้าได้ โดย สปสช. ได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทย พัฒนาระบบนัดหมายการเข้ารับบริการล่วงหน้าผ่าน App เป๋าตัง ซึ่งจะเริ่มให้บริการในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน และจะขยายไปในกลุ่มผู้ป่วยนอกทั้งหมด ในระยะต่อไป
2. “ผู้ป่วยใน” ไม่ต้องใช้ใบส่งตัวอีกต่อไป
ทั้งนี้ “ใบส่งตัว” เป็นเอกสารที่ใช้สื่อสารลักษณะโรค อาการป่วย การรับการรักษาเบื้องต้น ซึ่งที่ผ่านมา หากหน่วยบริการประจำ (คลินิก) วินิจฉัยและส่งตัวผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพ ผู้ป่วยต้องไปรับใบส่งตัวจากคลินิก หรือโรงพยาบาลก่อน ซึ่งทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก
แต่นโยบายใหม่นี้ หากผู้ป่วยไปรับบริการที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพแล้ว โรงพยาบาลวินิจฉัยว่าต้องแอดมิต (นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล) ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทันที โดยไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัวอีก เนื่องจาก สปสช. จะจัดทำระบบออนไลน์เพื่อเชื่อมต่อข้อมูล ระหว่างคลินิกกับโรงพยาบาลที่มีศักยภาพเองโดยอัตโนมัติ
3. ประชาชนแจ้งย้ายหน่วยบริการเมื่อใด รักษาที่ใหม่ได้ทันที
ที่ผ่านมา เมื่อผู้ใช้สิทธิบัตรทองขอย้ายหน่วยบริการ จะต้องรออีก 15 วัน จึงจะไปรักษาที่หน่วยบริการแห่งใหม่ได้ แต่นโยบายใหม่นี้ ผู้ป่วยไม่ต้องรอ 15 วันอีกต่อไป กล่าวคือ เมื่อมีความประสงค์ที่จะย้ายเมื่อใด ก็สามารถไปรักษาที่ใหม่ได้ทันที ประชาชนที่ใช้สิทธิบัตรทองจึงอุ่นใจได้ว่า เมื่อมีเหตุจำเป็นต้องย้ายถิ่นฐาน ก็จะสามารถย้ายหน่วยบริการและเข้ารับการรักษาได้อย่างทันทีอย่างแน่นอน
4. ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งจะได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพและไม่แออัด
ทั้งนี้ มะเร็งเป็นโรคที่สร้างความทุกข์ให้กับประชาชนอย่างมาก เนื่องจากอัตราการเสียชีวิตสูง ค่าใช้จ่ายก็สูงด้วย และ ที่สำคัญคือ โรงพยาบาลบางแห่งเท่านั้นที่มีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็ง จึงเกิดปัญหาคอขวดในการเข้ารับบริการ เกิดความแออัด ต้องรอการนัดหมายที่ค่อนข้างนาน ซึ่งเมื่อผู้ป่วยเข้าถึงบริการรักษาล่าช้า ก็อาจทำให้มะเร็งลุกลามได้โดยไม่จำเป็น
ทั้งนี้ สปสช. จึงมีแนวคิดในการยกระดับการรักษาใหม่ โดยเมื่อผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง หน่วยบริการผู้วินิจฉัยจะส่งข้อมูลผู้ป่วยมายัง สปสช. เพื่อให้ สปสช.ประสานจัดหาโรงพยาบาลที่ไม่แออัด และมีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งประเภทนั้นๆ ได้ทันที ประชาชนก็จะได้รับบริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน พร้อมทั้งบริการให้ยาเคมีบำบัดที่บ้าน พร้อมด้วยการติดตามอาการและแนะนำการทานยาผ่านระบบสื่อสารทางไกล (Telehealth) ภายใต้การดูแลจากผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
นายอนุชา กล่าวย้ำว่า “การคลายล็อกข้อจำกัดต่างๆ ของบัตรทองในครั้งนี้ คือ นโยบายของรัฐบาลในความพยายามที่จะยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อการดูแลรักษาพยาบาลที่ดี มีมาตรฐาน ง่ายและสะดวกสำหรับประชาชนคนไทยทุกคน”
ด้าน นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความเห็นต่างทางการเมืองที่เกิดขึ้น รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะให้เวทีรัฐสภาเป็นกลไกในการคลี่คลายสถานการณ์ โดยพร้อมรับฟังข้อมูลและความเห็นจากผู้แทนทุกฝ่าย เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมและเป็นที่ยอมรับของคนส่วนมาก ทั้งนี้ ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาทางการเมือง รัฐบาลได้ดำเนินการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านมาตรการระยะสั้นและระยะยาว เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด19 และให้ประเทศเดินหน้าต่อได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งขณะนี้ เริ่มมีสัญญาณของการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประเมินจากIMF ที่เห็นว่าไทยมีการหดตัวทางเศรษฐกิจลดน้อยกว่าเดิมจากที่คาดไว้เมื่อกลางปีที่ติดลบ 7.7% เป็น ติดลบ 7.1% และยอดการส่งออกสินค้าไทยเดือน ก.ย. ก็หดตัวน้อยลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามแล้ว
มากไปกว่านั้น ยังมีอีกหลายโครงการที่เชื่อว่าจะส่งผลต่อการเติบโตทางการค้าและการลงทุนหลังผ่านช่วงโควิด-19 อย่างแน่นอน อาทิ โครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งในช่วงเดือน ม.ค.- ส.ค. ที่ผ่านมา มีผู้ขอรับการส่งเสริมการลงทุน รวมเงินลงทุน 6.8 หมื่นล้านบาท โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน (SEC) ที่เดินหน้าแล้วเรื่อง การพัฒนาท่าอากาศยาน ท่าคือโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับกลุ่มประเทศเอเชียใต้ ที่มีประชากรกว่า 1.5 พันล้านคน สำหรับด้านการขยายตลาดต่างประเทศ รัฐบาลได้เป็นตัวกลางจับคู่ผู้ประกอบการไทย-ต่างประเทศ พาสินค้าเกษตรไทยขึ้นแพลตฟอร์ม อี-คอมเมิร์ซ ของจีนและอินเดีย และล่าสุด ได้มีการตกลงที่จะส่งเสริมการค้าการลงทุนกับรัสเซีย เพื่อผลักดันการเพิ่มมูลค่าการค้า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้ได้ในอีกสามปีข้างหน้า ยังมีเรื่องการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อประเทศไทยจะมีวัคซีนใช้เพียงพอและทันกับประเทศอื่นๆ รัฐบาลอนุมัติงบประมาณจำนวน 1,000 ล้านบาท ให้แก่สถาบันวัคซีนแห่งชาติเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาวัคซีน มากไปกว่านั้น นโยบายบายประกันรายได้เกษตรกร ที่สร้างความแน่นอนเรื่องรายได้แก่เกษตรกร 7.3 ล้านครัวเรือน ทั่วประเทศ ได้ดำเนินการสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยและเดินหน้าต่อในะรอบปีการผลิต 63/64
นางสาวรัชดา กล่าวว่า ท่ามกลางบรรยากาศของความเห็นต่าง รัฐบาลรับทราบความคิดเห็นของทุกฝ่าย และมีความตั้งใจที่จะหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกับสมาชิกรัฐสภา ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 26-27 ต.ค.นี้ อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็คาดว่าจะมีในกลางเดือน พ.ย. อนึ่ง พร้อมกันไปกับการคลี่คลายปัญหาทางการเมือง รัฐบาลได้บริหารราชการโดยมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โครงการระยะยาวจำนวนมากได้เริ่มต้นไปแล้วและมีความจำเป็นต้องได้รับการสานต่อ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คนไทยจะสามารถหาทางออกร่วมกัน รับทราบสิ่งดีๆ ที่เป็นโอกาสของประเทศ และหันมาร่วมมือกันทำให้โอกาสนั้นเกิดเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองอย่างแท้จริง