“จุรินทร์” เผย ปชป.ยังไม่ถกเปิดประชุมสภาวิสามัญแก้วิกฤตม็อบ บอกเหลืออีก 2 สัปดาห์เปิดสมัยสามัญฯ ยกโควิดโมเดลแก้ปัญหาได้
วันนี้ (16 ต.ค.) เวลา 08.55 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ ว่าการประชุม ครม.นัดพิเศษครั้งนี้มีเพียงวาระเดียว คือ เป็นการประชุมเพื่อพิจารณาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในท้องที่กรุงเทพมฯ ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจาก ครม.ภายใน 3 วัน
นายจุรินทร์ยังกล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านเรียกร้องขอเสียงมายังพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้สามารถเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญแก้วิกฤตประเทศว่า การจะเปิดได้จะต้องมี ส.ส.ร่วมกับ ส.ว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของเสียงสองสภาถึงจะสามารถเปิดได้ จึงเป็นเรื่องที่พรรคการมืองแต่ละพรรคต้องไปดูกันว่าเป็นอย่างไร จะอาศัยพรรคใดพรรคหนึ่งเสียงไม่น่าจะพอ แต่ข้อเท็จจริงคือ อีก 2 สัปดาห์ก็จะมีการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญในวันที่ 1 พ.ย.อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ได้มีการพิจารณาเรื่องการประชุมสภาสมัยวิสามัญ และขึ้นอยู่กับแต่ละพรรคจะไปพิจารณา แต่ลำพังพรรคใดพรรคหนึ่งคงไม่สามารถไปกำหนดได้
เมื่อถามว่า กลไกสภาจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยใช่หรือไม่ นายจุรินทร์กล่าวว่า กลไกสภาต้องเป็นทางออกหนึ่ง รัฐสภาควรจะเป็นเวทีในการที่จะหาทางออกให้แก่ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนคิดว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญเงื่อนไขหนึ่งที่สามารถช่วยหาทางออกให้แก่ประเทศได้
เมื่อถามต่อว่า คิดว่าสถานการณ์ยังไม่ได้สุกงอมอะไรขนาดนั้นใช่หรือไม่ นายจุรินทร์กล่าวว่า เวลานี้ยังไม่เห็นว่าจะไปเข้าเงื่อนไขอะไรที่โลกเขาเคยทำกันมา เพราะระบบยังเดินไปได้ ขณะนี้ยังเดินไปได้ สภาก็ยังจะเปิดได้ในเดือน พ.ย. กลไกก็ยังเดินไปได้ เรายังมีรัฐบาล ฝ่ายค้าน และ ส.ว. กลไกทั้งหมดยังเป็นไปตามเงื่อนไขของระบบรัฐสภา
เมื่อถามอีกว่า เป็นห่วงสถานการณ์การชุมนุมหรือไม่ ที่เริ่มมีการใช้ลักษณะฮ่องกงโมเดลจนอาจทำให้การทำงานของรัฐบาลสะดุด นายจุรินทร์กล่าวว่า ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกันใช้โควิดโมเดลเข้ามาเป็นแนวทางในการคลี่คลายสถานการณ์ คลี่ปัญหาของประเทศ ทุกฝ่ายก็จะไปได้ เพราะขณะนี้ต้องยอมรับความจริงว่าประเทศไทยประสบกับปัญหาโควิด ฉะนั้น สถานการณ์การเมืองถ้าเราใช้โควิดโมเดลร่วมกันกับทุกฝ่าย ตนคิดว่าจะช่วยให้ประเทศผ่านพ้นสถานการณ์ที่ทุกคนไม่อยากเห็นไปได้ และเป็นแนวทางที่พิสูจน์แล้วว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับ