รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เดินหน้าพัฒนาศักยภาพสตรีตามนโยบาย“สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” เน้นย้ำความเป็นผู้นำของสตรี มีบทบาทต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
วันที่ 30 กันยายน 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมงาน A Women’s Empowerment Principles Signature Ceremony for Companies in Thailand ซึ่งเป็นพิธีลงนามของ WEPs (WeEmpowerAsia) ระหว่าง UN Women กับผู้นำทางธุรกิจของไทย ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก โดยมี Ms.Hohmmad Naciri จาก UN Women H.E. Mr.Pirkka Taplol จาก European Union Delegation to Thailand Mr.Abhisit Vejjajiva และคณะทูตจาก 7 ประเทศ ประกอบด้วย แคนาดา นิวซีแลนด์ ฟินแลนด์ เดนมาร์ก ผู้แทนจากประเทศญี่ปุ่น และ สวิตเซอร์แลนด์ และ UN
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า ในฐานะรัฐมนตรีหญิงหนึ่งในสี่คนของคณะรัฐมนตรี จึงเป็นโอกาสที่สามารถทำงานร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของสตรีและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายบทบาทของสตรี เพื่อสร้างความเท่าเทียมกันทางสังคม อันเป็นยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ รวมถึงการกำหนดรูปแบบการพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นำของสตรีในสังคม เพื่อให้มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองมากขึ้น อีกทั้ง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ยังให้ความสำคัญกับแรงงานหญิง ด้านการปกป้อง ช่วยเหลือ สร้างความมั่นคงและรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานสตรีอย่างต่อเนื่องผ่านการบังคับใช้กฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถและการพัฒนาทักษะแรงงานอย่างต่อเนื่อง ทักษะเหล่านี้สตรีจะได้รับการฝึกฝนจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งกระทรวงแรงงานได้ร่วมมือกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) รณรงค์เพื่อส่งเสริมให้สตรีวัยทำงาน ทุกคนสร้างครอบครัวที่เข้มแข็ง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ได้รับโอกาสในการพัฒนาตนเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงผ่านโครงการต่างๆ ที่ดำเนินการภายใต้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี
รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ตระหนักถึงผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในตลาดแรงงาน จึงได้ดำเนินการเพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าวโดยใช้แนวทาง 3 แนวทาง ภายใต้แนวคิด 3 ประการ คือ “สร้าง-ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ” ด้วยการสร้างแรงงานสตรี ให้เป็นแรงงานที่มีทักษะใหม่และมีทักษะเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างแรงงานที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงานสตรี เพื่อให้ได้ค่าจ้างสูงขึ้นตามแบบทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานในแต่ละอาชีพ รวมถึงเปิดโอกาสให้แรงงานหญิงกลุ่มเปราะบาง ได้ประกอบอาชีพอิสระเป็นผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กที่สนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน นอกจากนี้ ยังให้โอกาสแรงงานสตรีที่ถูกเลิกจ้าง และนักศึกษาจบใหม่ได้ประกอบอาชีพ
“อย่างที่ทราบกันดีว่า เราไม่สามารถป้องกันและเตรียมพร้อมรับมือกับทุกๆ วิกฤตได้ แต่แนวทางหนึ่งที่เราสามารถทำได้ คือ การสร้างความแตกต่างที่โดดเด่นให้กับผู้หญิง และแน่นอนว่า การเพิ่มขีดความสามารถของสตรีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่จากทุกภาคส่วน กระทรวงแรงงานรู้สึกปลื้มปีติที่ได้รับการสนับสนุนจากหลายๆ หน่วยงาน และยินดีที่จะทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างพลังให้กับสตรีในประเทศไทยต่อไป” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด