รองโฆษกรัฐบาลแถลง ครม.รับทราบข้อเสนอ คกก.ป.ป.ช. ป้องกันการทุจริต พ.ร.ก.การเงิน 3 ฉบับ
วันนี้ (15 ก.ย.) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) กรณีศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยประกอบด้วย 3 ส่วนดังนี้ คือ
ส่วนแรก คือ พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ) ป.ป.ช.เสนอแนะว่า ควรกำหนดมาตรการเสริมในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ เช่น ในหมวด 2 ซึ่งเป็นหมวดเกี่ยวกับการเสนอ การพิจารณากลั่นกรอง และการอนุมัติโครงการ ควรกำหนดให้หน่วยของรัฐที่จัดทำโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้จะต้องมีการวางกระบวนการหรือกิจกรรม รวมทั้งการประเมิน เพื่อลดความเสี่ยงและแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นไว้ในโครงการที่จะเสนอด้วย โดยนำข้อกำหนดตามเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบายมาปรับประยุกต์ใช้ และหากโครงการไม่มีกระบวนการข้างต้น ผู้มีอำนาจพิจารณาอาจมีความเห็นให้ทบทวนหรือไม่อนุมัติโครงการได้ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (คกง.) ควรวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อการทุจริตก่อนพิจารณาอนุมัติโครงการ
นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังเสนอแนะว่า ควรขยายระยะเวลาในการพิจารณาโครงการ เพื่อให้การดำเนินโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้เกิดความคุ้มค่าและสามารถแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างแท้จริง และควรกำหนดบทลงโทษ กรณีหน่วยงานของรัฐที่ได้รับการกลั่นกรองและอนุมัติโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้จาก คกง.แล้ว แต่ภายหลังได้เปลี่ยนแปลงไปดำเนินโครงการอย่างอื่นโดยที่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบจาก คกง. ให้ถือว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ขณะเดียวกัน คกง.ควรกำหนดให้หน่วยงานของรัฐเสนอโครงการในรูปแบบไฟล์ Microsoft Excel และนำระบบการวิเคราะห์ข้อมูลมาประยุกต์ใช้เพื่อพิจารณากลั่นกรองโครงการ โดยควรมีคณะตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงของโครงการซึ่งเป็นผู้แทนจากภาคเอกชนร่วมด้วย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ควรจัดทำเว็บไซต์เฉพาะสำหรับการเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหากมีการจัดซื้อจัดจ้าง ควรเปิดเผยวิธีการจัดซื้อจัดจ้างและรายชื่อบริษัทที่เป็นคู่สัญญากับรัฐแบบ Real Time Online ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ป.ป.ช.ยังเสนอแนะว่า ควรแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้แทนจากภาคเอกชน ภาคประชาชน และนักวิชาการที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ร่วมเป็น คกง.ด้วย เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพิจารณาและตัดสินใจโครงการ
ป.ป.ช.ยังระบุด้วยว่า ควรกำหนดให้ทุกหน่วยงานที่ดำเนินโครงการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ทุกโครงการควรมีการลงนามในข้อตกลงคุณธรรมตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริตหรือคณะอนุกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริตกำหนด และในกรณีโครงการขนาดใหญ่ควรเข้าร่วมโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ
ส่วนที่ 2 พระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรเปิดเผยรายชื่อบริษัทที่ได้รับการช่วยเหลือ โดยคำนึงถึงกฎหมายเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของทางราชการและอาจเปิดเผยผ่านช่องทางเว็บไซต์ของ ธปท. หรือเว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ส่วนที่ 3 พระราชกำหนดให้การช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ธปท.ควรกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณา โดยให้สถาบันการเงินประเมินแผนงานของผู้ประกอบการวิสาหกิจที่ขอกู้เงิน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และธปท.ควรเปิดเผยรายชื่อผู้ประกอบการวิสาหกิจที่ได้รับการช่วยเหลือทางการเงินบนเว็บไซต์ของ ธปท.แบบ Real Time และควรส่งรายชื่อให้บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ซึ่งในส่วนนี้ ธปท.ได้ตอบความเห็นว่า ธปท.ได้เปิดเผยข้อมูลความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจบนเว็บไซต์ ธปท.ให้ทันสมัยแบบ Real Time อยู่แล้ว โดยไม่ได้เปิดเผยรายชื่อผู้ประกอบการวิสาหกิจที่ได้รับความช่วยเหลือเพราะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล และเป็นความลับทางการค้าของสถาบันการเงิน