โฆษกรัฐบาลสวนแอมเนสตี้ ปัดปิดกั้นเสรีภาพ ปล่อยชุมนุมอยู่ใต้ กม. เคารพสิทธิผู้อื่น ไม่สร้างความเกลียดชัง เอาผิดเหตุละเมิด กม. ปัดเลือกปฏิบัติ สู้คดีได้ตามมาตรฐานสากลที่ไทยเป็นภาคี สตช.ชี้ทำผิดจริง ยึดรธน.ทำตามกม. คำนึงสิทธิพื้นฐาน
วันนี้ (7 ก.ย.) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณี Amnesty International เรียกร้องรัฐบาลไทยยกเลิกข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมอันเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
ตามที่ Amnesty International (AI) หรือองค์การนิรโทษกรรมสากล สำนักงานใหญ่ กรุงลอนดอน เชิญชวนสมาชิก นักกิจกรรม และผู้สนับสนุนกว่า 8 ล้านคนทั่วโลก ส่งจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกร้องทางการไทยยกเลิกการตั้งข้อกล่าวหาต่อแกนนำ 31 คน และขอให้ยุติการขัดขวางการร่วมชุมนุมของประชาชน ที่เป็นการปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล รวมทั้งขอให้ยกเลิกกฎหมายที่มีเนื้อหากำกวม หรือคลุมเครือ เพื่อเป็นการเคารพ คุ้มครอง สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งการรณรงค์นี้จะมีไปถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2563
กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงดังนี้
1. รัฐบาลมิได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกรวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและอนุญาตให้มีการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนหลายครั้งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาโดยคำนึงถึงความสำคัญของสิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคมประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี การใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวต้องดำเนินการภายใต้กฎหมายและต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) ที่ไทยเป็นภาคี
2. รัฐบาลสนับสนุนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวหรือมีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชังอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพมุมมองของผู้ที่เห็นต่าง
3. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรในบริเวณโดยรอบที่ชุมนุม สำหรับกรณีการดำเนินคดีผู้ชุมนุมบางรายนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ละเมิดกฎหมาย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ชุมนุมที่ถูกดำเนินคดีจะได้รับการเคารพอย่างเต็มที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ ที่ประเทศไทยเป็นภาคี
ด้านคำชี้แจงจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ:
โฆษกรัฐบาลสวนแอมเนสตี้ ปัดปิดกั้นเสรีภาพ ปล่อยชุมนุมอยู่ใต้ กม. เคารพสิทธิผู้อื่น ไม่สร้างความเกลียดชัง เอาผิดเหตุละเมิด กม. ปัดเลือกปฏิบัติ สู้คดีได้ตามมาตรฐานสากลที่ไทยเป็นภาคี สตช.ชี้ทำผิดจริง ยึดรธน.ทำตามกม. คำนึงสิทธิพื้นฐาน
กรณี มีการเชิญชวนนักกิจกรรมและผู้สนับสนุนส่งจดหมาย เรียกร้องทางการไทย ยกเลิกการตั้งข้อกล่าวหาต่อแกนนำ และขอให้ยุติการขัดขวางการร่วมชุมนุมของประชาชนที่เป็นการปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอชี้แจงดังนี้
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยึดมั่นในหลักรัฐธรรมนูญ หลักกฎหมาย และเคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชน หลักเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ การแสดงออก และการรับฟังความคิดเห็น
การดำเนินการที่ผ่านมาของการผู้ชุมนุม มีการกระทำผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนพิจารณาพฤติการณ์การกระทำต่างๆที่เกิดขึ้น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามกรอบกฎหมาย ยุติธรรม โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้
จากการรวบรวมพยานหลักฐานและการพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ปรากฏหลักฐานตามสมควรว่า การทำกิจกรรมที่ผ่านมาดังกล่าว เป็นการกระทำผิดที่มีโทษทางอาญา และเป็นกรณีที่จะขออนุมัติศาลออกหมายจับได้ พนักงานสอบสวน จึงได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อออกหมายจับ ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับให้ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เว้นแต่แกนนำบางราย ซึ่งได้มีการทำผิดเงื่อนไขสัญญาประกัน ศาลจึงได้มีการเรียกไต่สวน และถอนประกัน
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอยืนยันว่า การดำเนินคดีกับแกนนำจัดกิจกรรม เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย