อดีตโฆษก ปชป.อัด “มีชัย” เขียน รธน.สุดย้อนแย้ง เปิดช่องนักการเมืองอุทธรณ์คดีทุจริต แต่อีกมาตราระบุขัดหลักนิติธรรม-กม. แถมย้อนหลังเอาผิดให้สิ้นสภาพ ส.ส. โดยยังไม่รู้ว่าผิดจริงหรือไม่ หาคนรับผิดชอบหาก “เทพไท” พลิกชนะคดี แต่ต้องพ้น ส.ส.
วันนี้ (31 ส.ค.) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เรื่องรัฐธรรมนูญ ฉบับมีชัย กับคำตัดสินคดี ส.ส. “เทพไท” มีเนื้อหาระบุว่า “ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่รับรัฐธรรมนูญปี 60 ที่ขายฝันว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง แต่มีความย้อนแย้งในตัวหลายเรื่อง เช่น คดีทุจริต ปกปิดทรัพย์สินของนักการเมือง แทนที่จบที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะอุทธรณ์ได้ต้องมีพยานหลักฐานใหม่เหมือนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปี 50 รัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับเปิดช่องให้มีการอุทธรณ์คดีได้ ทำให้คดีอาญาทุจริตของนักการเมืองรวมถึงคดีปกปิดทรัพย์สิน มีการพิจารณาคดีที่ศาลฎีกา 2 ครั้ง ผิดหลักการทางกระบวนการยุติธรรมที่ให้ศาลฎีกาคือศาลสูงสุด ทำให้เรื่องๆ เดียวมีคำพิพากษาศาลฎีกามาหักล้างคำพิพากษาศาลฎีกาซ้อนกันสองครั้งซึ่งไม่รู้จะยึดถือคำพิพากษาฎีกาฉบับไหนเป็นแนวดี เพราะผู้พิพากษาที่พิจารณาก็คือผู้พิพากษาศาลฎีกานั่นเอง โดยอ้างว่าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการต่อสู้คดตามมาตรฐานสากล แต่ในบางมาตรากลับเขียนไว้แบบไม่ให้ความเป็นธรรม และไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายเรื่องสิทธิเสรีภาพของบุคคลในการต่อสู้คดี หนึ่งในนั้นคือ ประเด็นที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในตอนนี้ คือ มาตรา 96 (2) มาตรา 98 (4) และมาตรา 101 (6) ที่กำหนดให้สถานะภาพ ส.ส.สิ้นสุดลง เรื่องนี้มีการหยิบยกเอาคดีของนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ว่าสิ้นสภาพความเป็น ส.ส.แล้ว เนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้ตัดสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
ผมมองว่าการโยงเอาเรื่องข้อต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งของผู้ที่อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ ตามมาตรา 96 (2) มาเป็นข้อห้ามตามมาตรา 98 (4) และส่งผลให้สิ้นสภาพ ส.ส.ตามมาตรา 101 (6) ยังไม่ชอบด้วยเหตุผลและหลักแห่งความเป็นจริง เพราะมาตรา 96 (2) เป็นการห้ามบุคคลไม่ให้ใช้สิทธิเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ไม่อาจใช้บังคับได้กับการเลือกตั้งที่ผ่านมาแล้ว เมื่อนายเทพไทผ่านการเลือกตั้งมาจนได้เป็น ส.ส. แสดงว่านายเทพไทมีคุณสมบัติครบถ้วนตามมมาตรา 96 (2) แล้ว จะนำผลของคดีนี้ซึ่งยังไม่ถึงที่สุดไปเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งที่สมบูรณ์แล้วย้อนหลังไม่ได้ ขัดต่อหลักของกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 29”
อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ระบุต่อไปว่า มีคำถามให้น่าคิดว่าในอนาคต หากศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นตัดสินว่านายเทพไทไม่มีความผิด ใครจะเยียวยาความเสียหาย หรือจะให้นายเทพไทกลับสู่สถานะเดิมได้อย่างไร แม้นักการเมืองจะถูกจัดว่าเป็นบุคคลสาธารณะที่มีความพิเศษกว่าประชาชนทั่วไป จึงต้องมีกฎหมาย มาควบคุมที่เข้มงวดมากกว่า แต่กฎหมายนั้นต้องเป็นธรรมและไม่ขัดต่อหลักแห่งความเป็นจริงด้วย เรื่องนี้ กกต.ควรส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อชี้ขาด เพราะเรื่องการสิ้นสภาพ ส.ส.ตามมาตรา 101 (6) ที่โยงเอาความผิดตามตรา 96 (2) เข้าข่ายกฎหมายที่เขียนโดยขัดหลักนิติธรรมและขัดกันเองแห่งรัฐธรรมนูญ
“ผมเห็นด้วยกับการวางมาตรการที่เข้มข้นในการคัดกรองคนเข้าสู่การเมือง แต่ขอย้ำอีกครั้งว่ากติกาต้องเป็นธรรม จะอ้างว่าการเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งเป็นโทษทางการเมือง ไม่ต้องรอให้คดีถึงที่สุด ก็ต้องใช้บังคับกับกรณีที่จะเข้าสู่ตำแหน่ง ไม่ใช่ย้อนหลังไปลงโทษ ซึ่งมีผลเสมือนกับการประหารชีวิตทางการเมือง ให้เขาต้องพ้นสถานภาพความเป็น ส.ส. ทั้งๆ ที่เขามีคุณสมบัติครบถ้วนมาแล้ว ผมให้ความเห็นเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบชื่อเทพไท เพราะโดยส่วนตัวก็ไม่ได้สนิทสนมกัน แต่เห็นว่าในเชิงหลักการแล้วเรื่องนี้ขัดหลักนิติธรรมแถมยังขัดกันเองของกฎหมาย แม้ผู้ได้รับผลกระทบจะเป็นใครก็ต้องทำกฎหมายให้เป็นบรรทัดฐาน” นายเชาว์ระบุทิ้งท้าย