xs
xsm
sm
md
lg

บล็อก “ล้มเจ้า”? “ดร.นิว” เปิดโปง Facebook เลือกปฏิบัติ “ปวิน” ดิชั้นไม่ยอมแพ้ “ลุงตู่-ดอน” สู้ตามกฎหมายไทย!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ จากเฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ  หรือ ดร.นิว
บล็อกเพจ “ล้มเจ้า” ไม่ง่าย ไม่จบ! “ดร.นิว” เปิดโปง Facebook เลือกปฏิบัติ แฉพฤติกรรมเห็นชัด “ปวิน” ยังคงเกาะติดกระแสระรื่น เชื่อไทยจะถูกฟ้อง ลั่น “ดิชั้นไม่ยอมแพ้” ด้าน “ลุงตู่-ดอน” ประสานเสียง เราจะสู้ตามกฎหมายไทย

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (25 ส.ค. 63) เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์หัวข้อ “#เปิดโปงการเลือกปฏิบัติของFacebook”

โดยระบุว่า “Facebook ได้ทำการลบกว่า 790 กลุ่ม 100 เพจ และ 1,500 โฆษณาที่เกี่ยวข้องกับทฤษฏีสมคบคิด “QAnon" โดยกลุ่มหลักที่เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว มีจำนวนสมาชิกถึง 2 แสนคน ด้วยเหตุผลที่ว่า กลุ่มดังกล่าวมีเนื้อหาที่ล้ำเส้น และเต็มไปด้วย การบูลลี่ที่เป็นการข่มเหงรังแก, การล่วงละเมิด, การใช้ประทุษวาจา หรือ hate speech และการแชร์ข้อมูลบิดเบือนที่ส่อไปในทางอันตราย แต่ไม่เพียงเท่านั้น Facebook ยังได้จำกัดการเข้าถึงกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ “QAnon” มากกว่า 1,950 กลุ่ม กับ 440 เพจบน Facebook และกว่า 10,000 บัญชีบน Instagram อีกด้วย

“QAnon” คือ ทฤษฎีสมคบคิดที่เชื่อว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นฮีโร่ และกำลังทำสงครามอย่างลับๆ กับกลุ่มชนชั้นสูงที่สามารถควบคุมอำนาจรัฐและอยู่เบื้องหลังการเมืองของสหรัฐอเมริกาในฐานะรัฐพันลึก หรือ Deep State โดย QAnon เริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงเดือนตุลาคมของปี 2017 เนื่องจากมีบุคคลนิรนาม (Anonymous) ผู้หนึ่งโพสต์ข้อความในเว็บบอร์ด 4chan พร้อมด้วยการลงชื่อทิ้งท้ายด้วยอักษร Q เพื่อบ่งบอกว่า ตนสามารถเข้าถึงข้อมูลลับของสหรัฐอเมริกาในระดับ ‘Q’ ได้ แล้ว Q + Anonymous จึงกลายเป็นที่มาของ QAnon ในที่สุด

นอกจากการลบและจำกัดการเข้าถึงข้อมูลของกลุ่ม QAnon ที่เผยแพร่ข้อมูลและความเชื่อที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาแล้ว Facebook ยังได้ทำการลบข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่ในฐานะ “องค์กรอาสาสมัครและผู้ที่สนับสนุนการก่อจลาจล” โดยมีกลุ่มแอนติฟา (Antifa) หรือขบวนการต่อต้านฟาสซิสต์ รวมอยู่ด้วย

ในเมื่อ Facebook บอกว่า การบล็อกและจำกัดการเข้าถึงกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส ของลุงสุรชัย เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งๆ กลุ่มดังกล่าวก็เต็มไปด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนและความรุนแรง ที่มีทั้งการบูลลี่, ล่วงละเมิด, ใช้วาจาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และบิดเบือนใส่ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย รวมถึงการปลุกระดมให้กระทำผิดกฎหมายอย่างโจ่งครึ่ม จนมีคนต้องมารับเคราะห์ เพราะถูกลุงสุรชัยหลอกใช้เป็นเครื่องมือจำนวนไม่น้อย

แล้วแบบนี้ สิ่งที่ Facebook ได้ทำการลบและจำกัดการเข้าถึงเพจจำนวนมากในประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันมันคืออะไรครับ?

หรือว่า Facebook สนับสนุนการใช้โซเชียลมีเดียเป็นอาวุธ (Weaponization of Social Media) ในการแทรกแซงความมั่นคงและสร้างความแตกแยกในประเทศไทย?

อ้างอิง...
https://www.bbc.com/news/technology-53849295
https://www.bbc.com/news/technology-53692545

ภาพ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ผู้ต้องหาลี้ภัย ม.112 ผู้ดูแลเพจ “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส” โพสต์ข้อความระบุว่า

“CNN คอนเฟิร์มเช่นกันว่า เฟซบุ๊กจะดำเนินการทางกฎหมายกับรัฐบาลไทย และเห็นว่า การบังคับให้บล็อกกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และส่งผลต่อการแสดงออกทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมา

นี่เท่ากับเป็นการช่วยประกาศกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลสในระดับสากล แหล่งข่าวบอกด้วยว่า ที่สำนักงานใหญ่เฟซบุ๊กที่ Silicon Valley จะมีการพูดเรื่องรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลสในการประชุมวันพรุ่งนี้

ก่อนหน้านี้ไม่นาน เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun โพสต์ว่า

“คอนเฟิร์มแล้วค่ะ เฟซบุ๊กจะฟ้องรัฐบาลไทยกลับที่สั่งให้บล็อกกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส ดิชั้นได้รับการแจ้งจาก Business Insider ว่า มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ค จะดำเนินการทางกฎหมายกับรัฐบาลไทย

ในโอกาสนี้ ดิชั้นให้สัมภาษณ์กับ Busines Insider ว่า เฟซบุ๊กฟ้องไทยเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะที่ผ่านมา กลุ่มเราเป็นส่วนหนึ่งของการปกป้องประชาธิปไตย หากเฟซบุ๊กยอมตาม ก็เท่ากับเฟซบุ๊กไม่แคร์ประชาธิปไตยและสนับสนุนการปิดกั้นข่าวสารข้อมูล... อย่างที่บอก ดิชั้นจะไม่ยอมแพ้ค่ะ”

ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากแฟ้ม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ที่ โรงแรมสตาร์ คอนเวนชั่น ต.ท่าประดู่ อ.เมืองระยอง จ.ระยอง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีที่สำนักข่าวต่างประเทศ ระบุว่า เฟซบุ๊กมีแผนที่จะดำเนินการฟ้องร้องรัฐบาลไทย จากกรณีที่กระทรวงดิจิทัลได้ขอให้เฟซบุ๊กดำเนินการบล็อกเพจ หรือบัญชีเฟซบุ๊กของผู้ที่โพสต์เนื้อหาหมิ่นเหม่พาดพิงสถาบัน อาทิ กรณีของเพจกลุ่มที่ชื่อ รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส (royalist marketplace) ซึ่งเฟซบุ๊กเห็นว่ารัฐบาลไทยจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ว่า

เรื่องนี้ขอให้มอง 2 ด้าน ถ้ามีการขยายความกันไปอยู่แบบนี้บางครั้งก็มีผลกระทบต่อประเทศ กฎหมายประเทศไทยว่าอย่างไร ทุกคนก็ต้องเคารพกฎหมายของแต่ละประเทศเช่นกัน

“ผมเองไม่เคยไปก้าวล่วงต่างประเทศ เพราะเป็นกฎหมายของเขา กฎหมายของใครก็คือของใคร เพราะฉะนั้นใครจะทำอะไรก็แล้วแต่ ขอให้ระมัดระวังด้วยในเรื่องเหล่านี้ และผมอยากจะบอกและจำเป็นต้องเอ่ยชื่อไม่ว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง ทั้งหมดก็มาจากเพจกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า royalist marketplace ซึ่งก็รู้ว่าใครเป็นผู้ขับเคลื่อนเพจดังกล่าว ซึ่งก็คือ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ซึ่งคนเหล่านี้ทุกคนก็รู้อยู่ว่าเป็นอย่างไร แล้ววันนี้อยู่ที่ไหน

แล้วเขารับผิดชอบความเสียหายกับประเทศชาติของเราหรือเปล่า นี่คือสิ่งสำคัญที่คนไทยที่เหลือต้องเข้าใจตรงนี้ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย เขาทั้งสองคนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น แต่คนที่เดือดร้อนที่สุดคือประเทศไทย และการที่เรามีการดำเนินการในเรื่องของเพจต่างๆ เหล่านี้ เป็นเรื่องการดำเนินการตามกฎหมายไทยทั้งสิ้น

แล้วก็ไม่เคยไปใช้อำนาจที่เรียกว่าเผด็จการ ซึ่งผมไม่ได้มีแล้ว ไปปิด มันไม่ใช่ เป็นการขอคำสั่งศาลในทุกตัว เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าในทางกฎหมาย เราสามารถที่จะยืนยันได้ตรงนี้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายไทย และการปิดเพจอะไรไปก็แล้วแต่ ก็เป็นการขอความร่วมมือและเป็นไปตามคำสั่งศาลทั้งสิ้น

หากมีการฟ้องร้องดังกล่าว เราก็ต้องใช้กฎหมายไทยไปสู้ และถึงแม้ในทางกฎหมายจะมีสิทธิเสรีภาพแต่ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายของไทย เหมือนกับที่เราไม่เคยไปทำผิดกฎหมายของประเทศอื่นเช่นกัน เรื่องนี้เราต้องมอง 2 ทางเสมอ”

ภาพ นายดอน ปรมัตถ์วินัย จากแฟ้ม
และที่ โรงแรม สตาร์ คอนเวนชั่น จ.ระยอง นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ให้สัมภาษณ์เช่นกัน ว่า ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายของกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กำลังพิจารณาในข้อกฎหมาย และกำลังดูที่มาที่ไปของเรื่องนี้ แต่ถ้าผู้โพสต์ทำผิดกฎหมายของรัฐบาล ก็อยู่ในฐานะที่ใช้กฎหมายของไทยเข้ามาควบคุมให้เกิดความถูกต้อง เรื่องสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายระหว่างประเทศถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะมาใช้ในกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทยได้หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาดูว่าเว็บนั้นคุณสมบัติอย่างไร นำเสนอเรื่องที่ดีที่เกิดขึ้นกับประชาชนหรือสังคมไทยได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ทำอย่างนั้นก็จะนำไปสู่ปัญหา

ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ทางเฟซบุ๊กอ้างว่าถือกฎหมายระหว่างประเทศเป็นหลัก นายดอน กล่าวว่า ตรงนี้ไม่เกี่ยว กรณีที่เกิดขึ้นเฟซบุ๊กมีการดำเนินการในประเทศไทย เราจึงมีวิธีการ สิทธิอำนาจ ในการเข้าไปพิจารณาเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในแผ่นดินไทยไหม

สิ่งที่ตนพูด คือในแง่ของหลักการ แต่กรณีที่เกิดขึ้นยังไม่ทราบรายละเอียด ส่วนอะไรก็ตามที่ละเมิดกฎหมายไทยถือว่าไม่ถูกต้อง และที่ผ่านมาเมื่อไรที่เกิดความไม่ถูกต้องขึ้นในประเทศไทย เราได้ขอความร่วมมือทางเฟซบุ๊กประจำประเทศไทย จะได้รับความร่วมมือมาตลอด

เมื่อถามว่า กรณีที่เฟซบุ๊กจะฟ้องรัฐบาลไทย อาจบานปลายจนนำไปสู่การพิจารณาถอนการลงทุนในไทย นายดอน กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องนี้ต้องรอดูรายละเอียดก่อน

เมื่อถามย้ำว่า ทางเฟซบุ๊ก มองว่า รัฐบาลไทยเป็นผู้ที่ทำผิดหลักสากล ในเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก นายดอน กล่าวว่า “ไม่ฟัง เขาพูดอย่างนั้นได้อย่างไร”

แน่นอน, ในเมื่อข้ออ้างในการ “ปิดเพจ” ในสหรัฐฯของ เฟซบุ๊ก ประเด็นสำคัญคือ กลุ่มดังกล่าวมีเนื้อหาที่ล้ำเส้น และเต็มไปด้วยการบูลลี่ที่เป็นการข่มเหงรังแก, การล่วงละเมิด, การใช้ประทุษวาจา หรือ hate speech และการแชร์ข้อมูลบิดเบือนที่ส่อไปในทางอันตราย

ขณะที่ กลุ่ม รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส (royalist marketplace) ดร.นิว ก็ชี้ว่า เต็มไปด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนและความรุนแรง ที่มีทั้งการบูลลี่, ล่วงละเมิด, ใช้วาจาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และบิดเบือนใส่ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย รวมถึงการปลุกระดมให้กระทำผิดกฎหมายอย่างโจ่งครึ่ม ฯลฯ

พอมาถึงการบล็อกและจำกัดการเข้าถึงกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส ที่รัฐบาลไทยดำเนินการ เฟซบุ๊กกลับบอกว่า เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามหลักสากล นี่คือ การตีความที่นำมาซึ่งความยุงยาก ที่รัฐบาลไทยจะต้องเผชิญ

ทำให้น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด ว่า เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร หรือ สู้กันดุเดือดแค่ไหน ล้วนแต่ทำให้รัฐบาลต้องเจอศึกรอบด้านมากขึ้น เพราะถือว่าแก้เรื่องหนึ่งก็ดันไปพันกับอีกเรื่องหนึ่งจนได้ และไม่ว่าจะอย่างไร ความย่อยยับก็ยังคงเป็นประเทศไทยอยู่ดี เพราะไม่มีอันจะพัฒนาประเทศ และฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ ใครลองคิดดู มันน่าเศร้าใจแค่ไหน!?


กำลังโหลดความคิดเห็น