“พิชิต” เดือดจัด จวกเละ “สมศักดิ์ เจียม” โทษฐานวิจารณ์ “ปิยบุตร” ให้ฉายา “สตาลินบนอินเทอร์เน็ต เผด็จการทางความคิด” ด้าน “ปวิน” เผยภาพกับ “ปิยบุตร” “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ทำเอาตาสว่างปมต่างชาติหนุนม็อบ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (24 ส.ค. 63) เฟซบุ๊ก พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ของ นายพิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความระบุว่า
“พรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล เป็นพรรคในระบบสภา ไม่ใช่ “พรรคปฏิวัติ” ที่รวมเฉพาะ “พวกฮาร์ดคอร์ซ้ายสุด” ไว้ในที่เดียว บัญชาการจาก “ผู้นำข้างบน” สู่ล่างไปยังสมาชิกจำนวนหยิบมือ แล้ว “ชูธง” นำหน้าขบวนมวลชนไป “สู้รบในสงคราม”
พรรคสภานั้น รวมผู้คนหลากหลายความคิดที่มีอุดมการณ์กว้างๆ ร่วมกัน ฐานมวลชนก็คือคะแนนเสียงเลือกตั้งของ ปชช.นับล้านสารพัดความคิดความเชื่อและต่างระดับความเข้าใจ การเคลื่อนไหวของพรรคสภา จึงต้องคำนึงถึงสมาชิกและฐานมวลชนที่กว้างกระจายหลากหลายมาก แล้วยังถูกผูกมัดด้วยกฎระเบียบและกฎหมายมากมาย
ใน ปวศ. พรรคสภาที่ “ชูธงก้าวหน้าสุดๆ” โดยไม่ดูสถานการณ์ ไม่ช้าก็พรรคแตก สูญเสียมวลชนส่วนใหญ่ไป เหลือแค่ “แฟนคลับฮาร์ดคอร์” จำนวนหยิบมือ สุดท้ายก็โดดเดี่ยว เหี่ยวเฉาหรือถูกทำลายไป
มี “ประเพณี” อย่างหนึ่งในพรรคคอมมิวนิสต์ เรียกว่า “วิจารณ์-วิจาร์ณตนเอง” ถ้า “ผู้นำ” เห็นสมาชิกคนใด “ออกนอกลู่นอกทาง” ที่ตนสั่งไว้ ก็จะเรียกประชุม ระดมสหายมารุม “วิจารณ์” (ซึ่งก็คือรุมด่า) ผู้นั้น ดำเนินไปเป็นวัน สัปดาห์ เป็นเดือน จนกว่าผู้นั้นจะ “สำนึกผิด” แล้วทำการ “วิจารณ์ตนเอง” ในที่ประชุม ซึ่งก็คือยอมก้มหัวสารภาพผิดและ “ด่าตัวเอง” ต่อหน้าทุกคน เป็นวิธีทำลายปัจเจกความเป็นมนุษย์ของผู้นั้นอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
สิ่งที่ สมศักดิ์ เจียม กระทำต่อปิยบุตร มีลักษณะคล้ายๆ อย่างนี้ แม้ไม่แน่ชัดว่า สมศักดิ์ ติดมาจาก พคท. หรือเป็นที่ตัวแกเอง สมัยก่อนพวกเราอาจเรียกอย่างสวยหรูว่า “วิจารณ์-วิจารณ์ตนเอง” แต่ในยุคนี้เราเรียกว่า “ล่าแม่มด” หรือ “อินเทอร์เน็ตบูลลี่”
ใช้กับสลิ่ม (ซึ่งก็ใช้วิธีบูลลี่แบบเดียวกัน) ยังพอทน แต่เอามาใช้ในหมู่มิตรสหายกันเอง แบบนี้ใช้ไม่ได้ ฉายา “สตาลินบนอินเทอร์เน็ต เผด็จการทางความคิด” ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย”
ทั้งนี้ ถ้าใครได้ติดตาม ข่าววานนี้จะเห็นว่า เรื่องนี้เป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งหน้าสื่อกระแสหลักและบนโลกโซเชียล
โดยจากกรณีเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 63 หลังมีข่าว “พรรคก้าวไกล” ไม่ร่วมยื่นแก้รัฐธรรมนูญ หมวด 1 และ 2 ส่งผลให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จากกลุ่มที่สนับสนุน ร้อนไปถึง นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่ออกมาแสดงความคิดเห็น เชิงกระแหนะกระแหน นายปิยบุตร แสงกนกกุล ผ่านเฟซบุ๊ก จนร้อนระอุไปทั้งโลกโซเชียล
โดย “สมศักดิ์ เจียม” โพสต์หัวข้อ “วิธี ไม่แก้ไข แบบหล่อๆ”
เนื้อหาระบุว่า “ปิยบุตรพูดที่เชียงใหม่ บัดนี้เขา (และกลุ่มก้าวไกล-พรรคก้าวหน้า) ได้ perfect วิธีการปรากฏตัวแบบหล่อๆ คือ ดูเหมือนเอาด้วยกับมวลชน แต่ขณะเดียวกัน ไม่ทำ ถ้าคุณจะทำ ทำเอง
ตลอด ปวศ.ไทย เราพบแต่อย่างนี้ พวกตัวเล็กตัวน้อย ทำไปเสียสละไป พวกตัวใหญ่ๆ รอให้ปลอดภัยเต็มที่”
ด้าน นายปิยบุตร ได้ออกมาชี้แจงว่า “พึ่งจบเสวนาที่นิติ มช มากดดูทวิตเตอร์ เกิดกระแสวิจารณ์ผมจำนวนมาก มีทั้งการวิจารณ์โดยตัดคลิปบางท่อนที่ผมปราศรัยสมัยก่อนยุบพรรค มีทั้งวิจารณ์ผมโดยอ่านจากที่ อ.สมศักดิ์ ทวีต มีทั้งเอาสองกรณีมาปนกัน ถ้าพอให้ความเป็นธรรมกับผมบ้าง ขอให้ลองฟังที่ผมพูดจนจบแล้วจึงค่อยวินิจฉัยวิจารณ์ผมครับ”
ซึ่งหลังจาก นายปิยบุตร ชี้แจงดังกล่าว นายสมศักดิ์ ก็ได้ออกมาตอบโต้อย่างต่อเนื่อง โดยเผยถึงจุดยืนของ ปิยบุตร ดังต่อไปนี้
“ผมมัวแต่เสียเวลา ฟังที่ปิยบุตรพูดอีกครั้ง หลังจากที่ฟังครั้งแรกตั้งแต่ต้นจนจบมาแล้ว แต่เผื่อเขาจะหาว่า ผมไม่ได้ฟังครั้งนี้จนจบ ผมก็อุตส่าห์ฟังอีก
ก่อนอื่น ผมดีใจที่เขายอมรับโดยปริยายว่า ตอนเป็น ส.ส. กับเลิกเป็นแล้ว มีความเปลี่ยนแปลงในการพูดของเขา นี่เป็นประเด็นที่ผมสังเกตเห็น และนึกด้วยความหัวร่อ (ยกตัวอย่าง เรื่อง การโอนหน่วยงานนั่นแหละ ตอนพูดในสภา ไม่พูดถึงประเด็นสำคัญเลย)
ผมฟังซ้ำแล้ว ก็ไม่เห็นว่า ผิดจากที่ประเมินไว้เลย ปิยบุตร พูดมากกว่าตอนเป็น ส.ส. และเมื่อ อานนท์ เพนกวิน รุ้ง ฯลฯ พูดไปแล้ว พูดง่ายๆ รอให้พวกนั้นลงมือทำไปก่อน
ตอนนี้ ก็ปล่อยให้ เพนกวิน ฯลฯ ทำไปก่อน เขาก็รอดูไปพลางก่อน (ตอนนี้เขาเกือบๆ จะถอยมาอยู่ที่โพสิชั่น ตอนเป็นนิติราษฎร์)
พูดง่ายๆ ปล่อยให้ พวกเด็กๆ ทำหน้าที่นำไปเรื่อยๆ แล้วดูสถานการณ์ไปเรื่อยๆ
อย่างที่ผมบอก นี่เป็นการปรากฏตัว “แบบหล่อๆ” (ผมไม่ได้บอกเลยว่า เขา “ไม่หล่อ”)
ชาตินี้ เราคงไม่ได้เห็นปิยบุตร “ผู้แทนมวลชน” ออกนำหน้าชูประเด็นปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นแน่แท้
หลังจากนั้น ได้มีเหล่าบรรดาผู้ติดตามโซเชียลเข้ามาแสดงความคิดเห็น เสียงแตกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง อย่างชัดเจน ทั้งการปกป้อง นายปิยบุตร บ้างก็ออกมาสนับสนุน นายสมศักดิ์กันอย่างคึกคัก... https://www.thaimoveinstitute.com/32232/
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน วันนี้ เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ลี้ภัยคดี ม.112 ที่ประเทศญี่ปุ่น โพสต์ข้อความสั้นๆ ที่ดูเหมือนสื่อสารกับสาวกที่ติดตามอย่างใกล้ชิดเท่านั้น
ระบุว่า “โฉมฉาย วิญญู อรสา”
แต่ที่น่าสนใจ เจ้าตัวลงภาพถ่าย ที่หนึ่งในนั้น มี “ปิยบุตร” รวมอยู่ด้วย
ขณะที่ผู้ติดตามรายหนึ่งโพสต์แสดงความเห็น
#กด❤ทีมจานปวิน
#กด😂ทีมลุงพรชัย
สามคนเท่าเลย
จัดมั้ยๆๆๆ ครับ
พร้อมกับ ลงภาพที่มี ม้า อรนภา ดารา พิธีกร และ ดร.เสรี รวมอยู่ด้วย
ไม่รู้ “ปวิน” อยากสื่ออะไร อยากหนุน หรือ อยากสื่ออะไรกับ “ปิยบุตร” หรือไม่???
อย่างไรก็ตาม ขณะที่หลายคนอาจข้องใจ กระแสข่าวที่ว่า ต่างชาติหนุนและอยู่เบื้องหลัง ม็อบเยาวชนปลดแอก มีเหตุมีผลที่ชัดเจนอย่างไรนั้น
วันนี้ เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ของ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์หัวข้อ “ต่างชาติอยู่เบื้องหลังม็อบ?”
เนื้อหาระบุว่า “มีคำถามคาใจคนไทยว่า ม็อบปลดแอกที่ขับเคลื่อนอยู่ในเวลานี้ มีต่างชาติหนุนหลังมั้ย เชื่อว่ามีแน่นอน
การเมืองในทุกประเทศ เป็นสนามแย่งชิงผลประโยชน์ และสร้างอิทธิพลของมหาอำนาจ ให้เอื้อต่อผลประโยชน์ของตนเอง ชาติใดแข็งขืน ก็ต้องสร้างแรงกดดัน ด้วยการบ่อนทำลายความมั่นคง บ่อนทำลายสถาบันหลัก บ่อนทำลายเศรษฐกิจ และสร้างความแตกแยกภายในประเทศนั้นๆ ด้วยการสร้างและสนับสนุนกลุ่มต่อต้านขึ้นภายใน
ชาติ ให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยก ให้ชาตินั้นๆอ่อนแอและเปลี่ยนฝ่ายมาอยู่ข้างตนเองให้ได้
ความวุ่นวายในตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก และอเมริกาใต้ คือ ตัวอย่างการแย่งชิงอิทธิพล ส่วนความวุ่นวายในฮ่องกงและไทย คือสนามแข็งขันของตะวันตกกับจีน
ในการเมืองโลก ตะวันตกกำลังทำท่าจะสูญเสียการนำ จีนกำลังก้าวขึ้นมาท้าทาย โดยมีรัสเซียเป็นพันธมิตร ความพยายามปิดล้อมจีนยังไม่สำเร็จ หากไม่ล้มรัฐบาลและสถาบันฯที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับจีน
หากขับรัฐบาลลุงตู่ออกไปได้ รัฐบาลใหม่หันมาใกล้ชิดสนิทสนมกับตะวันตก ยอมอยู่ใต้อิทธิพล ร่วมมือปิดล้อมจีนเหมือนเมื่อ 60 ปีที่แล้ว อะไรจะเกิดขึ้น
นี่คือ เหตุผลว่า ทำไมตะวันตกถึงต้องเข้าแทรกแซงการเมืองในประเทศไทย”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ มีอยู่สองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรก กรณี ธนาธร-ปิยบุตร-ก้าวไกล ไม่มาตามนัด หลังจากดันหลังเด็กๆลงถนนแล้ว จากนั้นตัวเอง ก็ไม่ยอมลงไปเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้ เหมือนที่เคยประกาศเอาไว้ และทั้งที่ประเด็น “ปฏิรูปสถาบัน” 10 ข้อ ที่ถือว่า สุ่มเสี่ยงอย่างมากต่อความปลอดภัยในชีวิตของแกนนำม็อบ ก็คือ แนวความคิดของ “ปิยบุตร” นั่นเอง
ยิ่งกว่านั้น แทนที่พรรคก้าวไกล ร่างทรงทางความคิดในรัฐสภา จะผลักดันอย่างเต็มที่อย่างที่มวลชนคาดหวัง กลับยอมถอยเอาง่ายๆ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกยุบพรรคเสียอย่างนั้น
นี่จึงกลายเป็นประเด็นถกเถียงว่า ผู้ใหญ่จะร่วมสู้กับเด็กหรือไม่ หรือปล่อยให้เด็กสู้จนชนะ แล้วผู้ใหญ่ค่อยมาจัดสรรอำนาจ? นี่คือ สิ่งที่ “สมศักดิ์ เจียม” แสดงความคิดเห็นเอาไว้
อีกข้อถกเถียง เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำหรือไม่ คือ เด็กก็สู้ไป จนกว่าจะชนะ หรือตายไปข้าง ผู้ใหญ่ก็ขายความคิดอยู่บนหอคอย อยู่ในรัฐสภา คอยดุน คอยหนุนหลัง คอยให้กำลังใจ แบบไม่อยากเปลืองตัว เพราะเด็กสู้เรื่องใหญ่ เรื่องพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน เรื่องอย่างนี้ผู้ใหญ่รู้ดีว่า พลาดเมื่อไหร่ อันตรายแน่นอน จึงเอาเด็กมาเป็นเหยื่อ เป็นตัวประกัน เพราะอย่างน้อยเชื่อว่า ผู้มีอำนาจคงไม่กล้าใช้ความรุนแรงกับเด็ก
และที่สำคัญ ดูเหมือน “แดงล้มเจ้า” ในต่างแดน ไม่พอใจอย่างมาก ที่เครือข่ายในประเทศ ไม่ยอมเปิดหน้าสู้ เพราะพวกเขาคิดว่า กระแสจุดติด และใกล้สุกงอมเต็มทีแล้ว อันนี้อาจประเมินจากโลกโซเชียล
แต่คนที่อยู่ในประเทศ ประเมินอย่างไรก็ยังไม่สุกงอมในเวลาอันใกล้ ไม่พร้อมที่จะเปิดตัวเต็มที่ เพราะกระแสในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่เหมือนโลกโซเชียล นี่คือ สิ่งที่ “ธนาธร-ปิยบุตร-ก้าวไกล” ไม่ทุ่มตัวเองไป แบบแลกเป็นแลกตาย หรือดูสถานการณ์ต่อไป จนกว่าเด็กจะปั่นกระแสให้สุกงอม หรือไม่ก็อ่อนล้าไปเอง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรทั้งสิ้น “ปล่อยให้เขาทำให้จบในรุ่นของเขา???”
ส่วนอีกเรื่อง ก็แทบไม่ต้องขยายความอะไรแล้ว เพราะคนที่คลุกคลีอยู่กับ “ข่าวกรอง” มายาวนาน อย่างอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เฉลยเหตุผลออกมาแล้ว ก็นับว่าเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว ซึ่งต้องพิสูจน์กันต่อไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนไทยก็ต้องชั่งน้ำหนักเอาเองว่า ควรจะมอบความไว้วางใจให้กับใคร คนที่กำลังปลุกปั่น ล้มล้างสถาบันหลักของประเทศ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ด้วยการเอาเด็กเป็น “เหยื่อ” หรือ ตามแนวทางรัฐสภา ที่กำลังเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ สร้าง “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง นี่คือ ประเด็น