ที่ปรึกษา กมธ.งบฯ เผยยังตอบไม่ได้จำเป็นต้องซื้อเรือดำน้ำหรือไม่ ขอรอฟังเหตุผลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน ชี้ถูกนำมาโยงเหตุการณ์การเมือง ควรเอาข้อเท็จจริงมาคุยกัน
วันนี้ (23 ส.ค.) นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ กรรมาธิการและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กล่าวถึงกรณีคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจและทุนหมุนเวียน มีมติเห็นชอบผ่านงบฯ จัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาท ว่ากรณีดังกล่าวข่าวที่ออกมาอาจไม่ละเอียดและกระจ่างจนทำให้ประชาชนบางส่วนไม่เข้าใจการใช้งบประมาณของปีนี้
ทั้งนี้ เท่าที่ฟังการชี้แจงความจริงเรือดำน้ำซื้อไปแล้ว 1 ลำ ส่วน 2 ลำนี้เป็นลำที่ 2 กับ 3 ซึ่งจะซื้อคู่กัน โดยทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงว่าหากซื้อคู่จะได้ราคาถูกกว่า และเรือดำน้ำคู่นี้มีการตกลงว่าต้องทำสัญญาและจ่ายเงินงวดแรกตั้งแต่งบประมาณปี 63 แล้ว แต่ทางกองทัพเรือเห็นว่าช่วงสถานการณ์โควิด-19 มีความจำเป็นจะต้องใช้เงินไปช่วยเหลือ จึงขอเลื่อนการทำสัญญาตามเอ็มโอยูที่ทำกับทางจีนมา 1 ปี แต่ปีนี้ทางจีนไม่ให้เลื่อนแล้ว จึงมีความจำเป็นต้องทำตามสัญญาตามเอ็มโอยูที่ทำไว้ ซึ่งในส่วนของจำนวน 22,500 ล้านบาท ปีนี้ไม่ได้จ่าย 22,500 ล้านบาท จ่ายเพียง 3,000 ล้านบาทเศษเท่านั้น ตกลำละประมาณ 1,500 ล้านบาท เนื่องจากเรือที่ซื้อเป็นการจ่ายแบบงวด ประมาณ 6-7 งวด เฉลี่ยงวดละ 3,000 ล้านบาท ไม่ได้เป็นการใช้เงิน 22,500 ล้านบาทในปีนี้ปีเดียว
นายสัมพันธ์กล่าวต่อว่า หากถามว่าจำเป็นต้องซื้อหรือไม่ ตนมองว่าคงต้องรอฟังการชี้แจงเหตุผลจากกองทัพเรือเสียก่อน หากเห็นว่ามีความจำเป็นก็ควรอนุมัติให้ตามที่ขอมา แต่ทั้งนี้ต้องรอฟังการชี้แจงก่อน ตนพูดคนเดียวว่าควรซื้อหรือไม่ควรซื้อคงไม่ได้ จำเป็นต้องรอฟังการชี้แจงเหตุผลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและที่ประชุม กมธ.งบฯ ก่อนว่ามีความจำเป็นหรือไม่แค่ไหน ต้องใช้เงินเท่าไร และขั้นตอนการใช้เงินเป็นอย่างไร ตนในฐานะ กมธ.งบ ต้องฟังการขี้แจงของฝ่ายที่เสนอของบประมาณมาก่อน แต่เหตุการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันหลายฝ่ายยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดรวมกันทำให้เกิดกระแสทั้งเห็นควรซื้อและไม่ควรให้ซื้อ
“เรื่องนี้ถูกนำมาโยงเหตุการณ์การเมืองในปัจจุบัน ถ้าหากเอาข้อเท็จจริงมาพูดคุยกัน ทำให้ประชาชนจะได้เข้าใจมากขึ้น เหตุการณ์ต่างๆ ก็จะไปในทางที่ดีขึ้น”