“ส.ส.พปชร.” หารือสภาฯ ฝากหน่วยงานรัฐดูแลประชาชนทุกภาคส่วน ทั้งการปรับปรุงความสะอาดตลาด-เร่งรัดแก้ไขวัชพืชทางเดินน้ำ บรรเทาความเดือดร้อนเกษตรกร ที่ จ.สิงห์บุรี รวมถึงร้องสิทธิ์ข้าราชการทวีคูณในพื้นที่ อ.สอยดาว จ.จันทบุรี โดยไม่ต้องร้องศาลปกครอง
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่รัฐสภา ในช่วงหารือก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาฯ น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ ส.ส.กทม. เขตบางกะปิ-วังทองหลาง พรรคพลังประชารัฐ หารือประธานสภาฯไปยังผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ขอให้พิจารณาตรวจสอบการดำเนินการและการบริหารจัดการด้านสุขอนามัยโดยบังคับใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การสาธารณสุข ในตลาดทั่ว กทม.ทั้งของภาคเอกชนและรัฐบาล เพื่อให้มีการปรับปรุงความสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็น เน่าเสีย เนื่องจากตลาดบางพื้นที่ไม่มีการบริหารจัดการที่ดี และบ่อบำบัดน้ำเสียที่ถูกสุขลักษณะ ไม่มีน้ำท่วมขังในพื้นที่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้มีตลาดสดและอาหารสะอาด
นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง บริเวณ ถ.ศรีนครินทร์ ที่มีความคืบหน้าอย่างมากแต่กลับพบปัญหาไฟฟ้าดับในศาลาพักผู้โดยสารในบริเวณแยกลำสาลีจนถึงแยกพัฒนาการ รวมทั้งเพิ่มไฟฟ้าใต้สะพานข้ามคลองแสนแสบ บริเวณรามคำแหง 81 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ และแขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง จึงอยากให้ผู้ว่าฯกทม. และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) พิจารณาแก้ไขด้วยเพื่อความปลอดภัยของประชาชนด้วย
ด้าน นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.สิงห์บุรี พรรคพลังประชารัฐ หารือถึงกรมชลประทานให้เร่งรัดแก้ไขในเรื่องวัชพืชในคลองส่งน้ำทุกเส้นของ จ.สิงห์บุรี เนื่องจากเกษตรกรได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังขอเพิ่มระดับน้ำเพื่อการเกษตรส่งกับเกษตรกรด้วยหากปริมาณน้ำไม่เพียงพอ พร้อมเสนอให้กรมชลประทานนำเครื่องสูบน้ำลงไปช่วยเหลืออีกทาง และยังขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรอีก 2 กลุ่มคือกลุ่มเกษตรกรชาวนาที่เริ่มทำนาไปแล้วแต่เกิดความเสียหายนอกจากขาดน้ำ และกลุ่มเกษตรกรที่ไม่ได้ทำนาเนื่องจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอ
ขณะที่ พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี พรรคพลังประชารัฐ หารือไปถึงอธิบดีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ถึงสิทธิ์ทวีคูณอายุราชการหลังได้รับข้อร้องเรียนจากข้าราชการตำรวจในพื้นที่ อ.สอยดาว จ.จันทบุรี ที่ประกอบไปด้วยสถานีตำรวจภูธร (สภ.) สะตอน และ สภ.สอยดาว รวมไปถึงข้าราชการทุกภาคส่วนที่ปฎิบัติหน้าที่ในพื้นที่ ที่เสียสิทธิในการนับเวลาราชการทวีคูณตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.2534-12 พ.ย.2541 เป็นเวลา 7 ปี 6 เดือน 10 วัน) โดยเวลาข้างต้นพื้นที่ 5 ตำบลที่อยู่ในเขตการปกครอง อ.โป่งน้ำร้อน มีเขตแดนติดต่อกับประเทศกัมพูชา
“ในขณะนั้นอยู่ในเขตการประกาศกฎอัยการศึก แม้จะมีพระราชกฤษฎีกาประกาศเป็นอำเภอแยกการปกครองจาก อ.โป่งน้ำร้อนก็ตาม เนื่องจากไม่มีกระแสพระบรมราชโองการเพื่อยกเลิกกฎอัยการศึก ข้าราชการจึงไม่ได้รับการทวีคูณอายุราชการ ซึ่งปัจจุบันอดีตข้าราชการที่เกษียณจะต้องร้องเรียนเท่านั้น จึงอยากให้ข้าราชการที่เข้าข่ายดังกล่าวได้รับสิทธิ์ราชการดังกล่าวตามกฎหมายโดยไม่ต้องฟ้องร้องต่อศาลปกครองด้วย” พ.ต.ท.ฐนภัทร กล่าว.