xs
xsm
sm
md
lg

กระแสวัยรุ่นมองมุมบวก ยิ่งขวางเหมือนยิ่งยุ-แรง !!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา

นาทีนี้ก็ต้องถือว่าไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของบรรดาเด็กๆ เยาวชน นักศึกษาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การต่อต้านรัฐบาล รวมไปถึงอาจลามปามไปถึงเรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ถือว่าทำได้ผลในระดับหนึ่งแล้ว เพราะกำลังกลายเป็นกระแสออกไปในหมู่นักเรียนระดับมัธยมในโรงเรียนบ้างแล้ว

แน่นอนว่า บางกลุ่มการเมืองหรือบางพรรคที่คอยเก็บเกี่ยวประโยชน์และแอบอยู่ข้างหลัง หรือคอยยุแยงเด็กพวกนี้เพื่อหวังประโยชน์ทางการเมืองของพวกเขาก็คงจะแอบกระหยิ่มอยู่ในใจ จนบางคนถึงกับโพล่งออกมาว่า “จุดติดแล้ว” อะไรประมาณนี้ ซึ่งก็อาจจะใช่ ที่ทำให้เกิดกระแสทำตามกันในหมู่ “วัยรุ่น” พวกนี้มีการใช้สื่อโซเชียลฯ ส่งต่อภาพทำกิจกรรมต่างๆ แพร่หลายออกไปเหมือนกับที่กำลังเกิดขึ้นในโรงเรียนมัธยมบางแห่ง ที่มีนักเรียน “ชูสามนิ้ว” แล้วติดแฮชแท็ก # “โรงเรียนหน้าเขาไม่เอาเผด็จการ” เหมือนเป็นการบอกกันในหมู่นักเรียนและโรงเรียนต่างๆ ที่ยังเฉย ว่าถ้าใครทนอยู่กับพวกเผด็จการได้ ก็เป็น “พวกหลังเขา” ว่างั้นเถอะ

แต่หากพิจารณาในมุมของ “วัยรุ่น” มันย่อมมีมุมมอง หรือความเข้าใจที่แตกต่างกันแน่นอน ซึ่งบางครั้งวัยรุ่นอาจจะไม่สนใจความหมายของคำว่า “เผด็จการ” หรือ “ประชาธิปไตย” ที่แท้จริงก็ได้ แต่อาจจะอยู่ที่ว่าตัวเองได้ทำกิจกรรม ได้ “สร้างปมเด่น” ให้คนอื่นๆ ได้เห็น ให้เพื่อนๆ ได้เห็น แล้วเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ และที่สังเกตก็คือ หากให้วัยรุ่นรวมกลุ่มเกินสองคนขึ้นไป ก็จะสามารถทำอะไรก็ได้ ที่วัยผู้ใหญ่ไม่กล้าทำ เพราะรู้สึก “อาย” แต่วัยรุ่นกล้าทำ เนื่องจากเป็นการสร้าง “ปมเด่น”

ให้คนอื่นสนใจ หรือทำให้เพื่อน หรือเพศตรงข้ามได้เหลียวมองด้วยความสนใจ และเชื่อแน่ว่า “วัยรุ่นเก่า” ที่เวลานี้เป็นพ่อแม่ รุ่นน้า อา ป้า เคยเป็นมาก่อน เพียงแต่ยุคสมัยมันต่างกัน แน่เชื่อว่าระดับฮอร์โมนเคยพลุ่งพล่านมาก่อน ถือเป็นเรื่องปกติ

และอย่าได้แปลกใจที่การ “ชูสามนิ้ว” สัญลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาว่าเป็นการ “ต้านเผด็จการ” แบบนี้จะขยายไปอีกหลายโรงเรียน เพราะนี่คือ “กระแส” หรือ “แฟชั่น” ที่ต้องทำตาม ใครไม่ทำก็อาจ “ไม่เข้าพวก” ขณะเดียวกัน หากลองไปสอบถามเด็กๆ ที่ร่วมกันชูสามนิ้วที่ว่านั้น เชื่อว่า หลายคนก็อาจไม่รู้ความหมายแต่ก็ทำตามกันไป

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากอารมณ์และความรู้สึกของวัยรุ่น ซึ่งก็อาจรวมไปถึงพวกนักศึกษาอีกไม่น้อย ที่ด้วยวัยและวุฒิภาวะที่ถือว่าไม่ได้ต่างกันมากนัก อย่างน้อยกลุ่มนักศึกษา ก็มีอายุเลย 18 ปี ที่กำลังจะข้ามเส้นไปเป็น “วัยรุ่นผู้ใหญ่” เพราะจะถือว่าเป็นวัยรุ่นก็ไม่ใช่นัก จะเป็นผู้ใหญ่ก็ยังไม่เต็มวัยดี แต่หากพิจารณาในเรื่องอารมณ์ “พลุ่งพล่าน” ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก

ดังนั้น หากจะบอกว่าน่ากลัว น่าหนักใจก็อาจจะใช่ แต่ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันอย่างเข้าใจลักษณะพฤติกรรม และอารมณ์วัยรุ่นหากมองในมุมบวกก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะนี่คือการ “ตื่นตัว” ในทางการเมือง ดีกว่าไป “สุมหัว” บ้าแฟชั่น หลงใหลอบายมุข เป็นต้น เพียงแต่ว่า ต้องมีคนที่เข้าใจ และพูดคุยในแบบที่เหมือนกับว่าเข้าไปนั่งอยู่ในใจของพวกเขาได้อย่างกลมกลืน เหมือนกับที่ในแต่ละโรงเรียน ที่มี “ฝ่ายปกครอง” ที่ในสมัยก่อนจะมีทั้งพระเดช พระคุณ ทำให้เด็กยำเกรง ขณะเดียวกัน ก็จะมีฝ่ายจิตวิทยา ที่เข้าใจความรู้สึกของเด็ก เป็นต้น
อีกทั้งในยุคปัจจบันที่เป็นยุคดิจิทัล การรับรู้และการเผยแพร่เรื่องราวข่าวสารทำได้รวดเร็ว เป็นกระแสทางใดทางหนึ่งได้ไม่ยาก ขึ้นอยู่กับว่า “ไอดอล” ของพวกเขาเป็นใคร และอยู่ฝ่ายไหน ที่สามารถสร้างสัญลักษณ์จนได้รับการยอมรับได้มากกว่า ซึ่งบางครั้งอาจไม่เกี่ยวกับความถูกต้อง หรือไม่ถูกต้องก็ได้

ดังนั้น หากพิจารณาในมุมบวก การเคลื่อนไหวทำกิจกรรมของนักเรียน และอาจรวมไปถึงบรรดานักศึกษา ที่ทำกิจกรรมทางการเมืองในเวลานี้ก็ต้องถือว่าน่าสนใจ ต้อง “ผ่อน” ไปตามกระแส ต้องดำเนินการไปด้วยความละมุนละม่อม อย่าไปพยายามสร้างความรู้สึกให้เห็นว่า “ถูกขัดขวาง” เพราะนั่นเท่ากับว่าเหมือนยิ่งยุ และยิ่งเกิดแรงต้านลุกลาม ซึ่งก็เหมือนกับวัยรุ่นนักเรียนทุกยุค ที่มักจะมีปัญหาเรื่อง “ไว้ผมยาว” และเชื่อหรือไม่ หากมีการอนุญาตให้ไว้ผมตามที่ต้องการได้ อีกสักพักหนึ่งพวกเขาก็จะตัดผมสั้น นั่นแหละ บางครั้งก็ต้องฝืนมองด้วยความเข้าใจให้ผ่านไป !!


กำลังโหลดความคิดเห็น