“ธนาธร” ออกตัวหนุน นศ. จี้ทางออกคือรับฟัง อ้างจับกุมเหมือนราดน้ำมันลงกองไฟ

ปธ.คณะก้าวหน้า ออกโรงป้องเยาวชนแสดงออกตามสิทธิ ชี้จับกุมเหมือนราดน้ำมันลงกองไฟ แนะทางออกคือรับฟัง ย้ำอยู่เคียงข้างหนุนข้อเรียกร้อง พร้อมชู 10 ข้อเด็ก มธ.เป็นสิทธิพื้นฐาน ปชต. ดักนายกฯ อย่าอ้างเรื่องปากท้อง

วันนี้ (14 ส.ค.) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มเยาวชน นิสิต นักศึกษา โดยยืนยันว่าการชุมนุมดังกล่าวเป็นการแสดงออกซึ่งสิทธิและเสรีภาพ ควรที่จะได้รับการคุ้มครอง และปกป้องเยาวชนที่แสดงความคิดเห็น โดยการจับกุมกลุ่มเยาวชนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่เป็นการราดน้ำมันลงในกองไฟ เชื่อว่าสิ่งที่เป็นทางออกของสังคมในขณะนี้คือการรับฟัง สิ่งที่เยาวชนพูดอย่างมีสติ สิ่งเหล่านั้นเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย และนี่คือความท้าทายของสังคมไทยในการแสดงออกว่าจะมีวุฒิภาวะและมีความเป็นผู้ใหญ่พอหรือไม่ที่จะรับฟังความเห็นของนิสิตนักศึกษาอย่างตรงไปตรงมา อย่างมีเหตุมีผลและมีสติ

โดยนายธนาธรได้ยืนยันจุดยืนว่าคณะก้าวไกลอยู่เคียงข้างนักศึกษา โดยข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อของกลุ่มนักศึกษา ที่เรียกร้องให้หยุดคุกคามประชาชน ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการยุบสภา คิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำในวันนี้ คือมองสิ่งที่เยาวชนเรียกร้องด้วยความหวังดี ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจว่าพร้อมที่จะรับฟัง และประนีประนอมได้เท่าไหร่ หากผู้บริหารประเทศไม่มองใน 3 ข้อเรียกร้องนี้จะไม่สามารถหาทางออกให้สังคมได้

นอกจากนี้ นายธนาธรยังกล่าวถึง 10 ข้อเรียกร้องของนักศึกษาธรรมศาสตร์ว่าต้องยอมรับในข้อเท็จจริงที่อาจจะมีในบางประเด็นที่ทำให้กลุ่มบุคคลไม่สบายใจในข้อเรียกร้อง แต่ในขณะเดียวกัน ต้องยอมรับข้อเท็จจริงร่วมกันว่าคือข้อความจริงที่ปรากฏขึ้นในประเทศไทย แต่ไม่ค่อยมีใครออกมาพูดในที่สาธารณะ โดยการออกมาแสดงความคิดเห็นดังกล่าวถือเป็นการแสดงความเห็นที่กล้าหาญ โดยส่วนตัวมองว่า 10 ข้อเรียกร้องเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น สังคมควรจะนำประเด็นดังกล่าวมาพูดคุยและหารือเพื่อหาทางออกอย่างตรงไปตรงมา

ขณะเดียวกัน ในการที่สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการศึกษารับฟังข้อเสนอแนะของนักศึกษาขึ้น แต่อีกฝ่ายหนึ่งมีการจับกุมนักศึกษาที่แสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นการแสดงออกว่าเป็นการไม่แสดงความจริงใจต่อการกระทำ และสิ่งที่นายกรัฐมนตรีออกมาพูดในแถลงการณ์ที่ผ่านมาว่าให้กลับมาสนใจเรื่องปากท้องของพี่น้องประชาชนในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารประเทศจึงควรที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวให้ได้เด็ดขาดในการบริหารงานไม่ใช่ให้ประชาชนเป็นผู้แก้ปัญหาด้วยตนเอง